งานเดินได้ ต้องเข้าใจกันเสียก่อน

งานเดินได้ ต้องเข้าใจกันเสียก่อน

งานเดินได้ ต้องเข้าใจกันเสียก่อน

ในการทำงานร่วมกันระหว่างนายจ้างและพนักงาน ย่อมมีความแตกต่างทางความคิดและมุมมองอยู่บ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากความแตกต่างนั้นนำไปสู่ความไม่เข้าใจกันและกัน ก็อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานและองค์กรได้

ความไม่เข้าใจกันและกันระหว่างนายจ้างและพนักงาน ในเรื่องความสำคัญของพนักงานในหน่วยงาน ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่จะมองข้ามไปได้ เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว พนักงานเปรียบเสมือนฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร หากฟันเฟืองแต่ละชิ้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสานกันดี องค์กรก็จะสามารถเดินหน้าได้อย่างราบรื่น

แต่หากฟันเฟืองแต่ละชิ้นทำงานไม่เป็นระบบหรือขัดแย้งกัน องค์กรก็จะไม่สามารถเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดปัญหาในการทำงานตามมา เช่น ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง พนักงานขาดขวัญและกำลังใจ เกิดการลาออกของพนักงาน ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงขององค์กร

แม้ว่าเจ้าของกิจการหลายคนจะตระหนักถึงความจริงข้อนี้ดี แต่ก็แค่ตระหนักเท่านั้น ไม่ได้ดำเนินการใดให้เป็นรูปธรรมเพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกัน ในเรื่องของสถานภาพพนักงาน

สาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างนายจ้างและพนักงานนั้น มีปัจจัยหลายประการ เช่น

1. ความแตกต่างทางความคิดและมุมมอง นายจ้างและพนักงานมักมีมุมมองที่แตกต่างกันในหลายเรื่อง ได้แก่

เป้าหมายขององค์กร

นายจ้างและพนักงานอาจมีเป้าหมายในการทำงานที่แตกต่างกัน นายจ้างอาจมุ่งเน้นไปที่การทำกำไร ในขณะที่พนักงานอาจมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาตนเองหรือการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ดี หากทั้งสองฝ่ายไม่เข้าใจเป้าหมายของกันและกัน อาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้ เช่น นายจ้างอาจต้องการลดต้นทุนโดยลดสวัสดิการของพนักงาน ในขณะที่พนักงานอาจมองว่าสวัสดิการมีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตการทำงาน

แนวทางในการทำงาน

นายจ้างและพนักงานอาจมีแนวทางในการทำงานที่แตกต่างกัน นายจ้างอาจต้องการการทำงานแบบมีระเบียบวินัย ในขณะที่พนักงานอาจต้องการการทำงานแบบอิสระ หากทั้งสองฝ่ายไม่เข้าใจแนวทางของกันและกัน อาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้ เช่น นายจ้างอาจตำหนิพนักงานที่ทำงานไม่ตรงเวลา ในขณะที่พนักงานอาจมองว่านายจ้างไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับงานของตน

สวัสดิการของพนักงาน

นายจ้างและพนักงานอาจมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับสวัสดิการของพนักงาน นายจ้างอาจมองว่าสวัสดิการเป็นค่าใช้จ่าย ในขณะที่พนักงานอาจมองว่าเป็นสิทธิที่ควรได้รับ หากทั้งสองฝ่ายไม่เข้าใจความต้องการของกันและกัน อาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้ เช่น นายจ้างอาจปฏิเสธที่จะให้พนักงานลาเพื่อดูแลครอบครัว ในขณะที่พนักงานอาจมองว่าการลาเพื่อดูแลครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ

2. การสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของความไม่เข้าใจกันระหว่างนายจ้างและพนักงาน การสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น

• การตีความความหมายของคำพูดหรือการกระทำที่แตกต่างกัน

นายจ้างและพนักงานอาจมีพื้นฐานทางวัฒนธรรม การศึกษา หรือประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ทำให้ตีความคำพูดหรือการกระทำของอีกฝ่ายในความหมายที่แตกต่างออกไป ตัวอย่างเช่น นายจ้างอาจบอกพนักงานว่า “ทำงานให้หนักขึ้น” แต่พนักงานอาจตีความว่านายจ้างไม่พอใจกับผลงานของพวกเขา

• การขาดการสื่อสารแบบสองทาง

การสื่อสารแบบสองทางเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เกิดการเข้าใจที่ชัดเจน การสื่อสารแบบหนึ่งทาง เช่น นายจ้างพูดและพนักงานฟัง อาจทำให้พนักงานไม่มีโอกาสได้ถามคำถามหรือแสดงความคิดเห็นของตน ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิด

• การหลีกเลี่ยงการสื่อสาร

บางครั้งนายจ้างหรือพนักงานอาจหลีกเลี่ยงการสื่อสารกัน ซึ่งอาจเกิดจากความกลัวที่จะเผชิญหน้ากัน ความอับอาย หรือความไม่มั่นใจ ส่งผลให้เกิดปัญหาสะสมจนกลายเป็นความขัดแย้ง

3. การขาดการมีส่วนร่วมของพนักงาน การขาดการมีส่วนร่วมของพนักงานเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างนายจ้างและพนักงานได้ ดังนี้

• พนักงานรู้สึกไม่ได้รับความสำคัญ

เมื่อพนักงานรู้สึกว่าความคิดเห็นของตนเองไม่ได้รับการฟังและนำไปพิจารณา พนักงานจะรู้สึกไม่ได้รับความสำคัญและรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงหุ่นยนต์ที่มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น สิ่งนี้อาจนำไปสู่การขาดความผูกพันของพนักงานกับองค์กรและอาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมเชิงลบ เช่น การขาดงาน การลาออกก่อนกำหนด และการก่อจลาจล

• พนักงานรู้สึกไม่เข้าใจเป้าหมายขององค์กร

เมื่อพนักงานไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดเป้าหมายขององค์กร พนักงานจะรู้สึกไม่เข้าใจเป้าหมายขององค์กรและอาจมองว่าเป้าหมายเหล่านั้นไม่สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง สิ่งนี้อาจนำไปสู่การขาดแรงจูงใจของพนักงานและอาจส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง

• พนักงานรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม

เมื่อพนักงานรู้สึกว่าตนเองถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม พนักงานจะรู้สึกโกรธและคับข้องใจ สิ่งนี้อาจนำไปสู่การขาดความไว้วางใจของพนักงานที่มีต่อนายจ้างและอาจส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในการทำงาน

4. ความไม่ไว้วางใจกัน ความไม่ไว้วางใจกันระหว่างนายจ้างและพนักงานเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างทั้งสองฝ่าย ความไม่ไว้วางใจกันอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น

• ความแตกต่างของเป้าหมายและผลประโยชน์

นายจ้างและพนักงานอาจมีเป้าหมายและผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน นายจ้างอาจมุ่งเน้นไปที่การทำกำไรสูงสุด ในขณะที่พนักงานอาจมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาตนเองและการเติบโตในอาชีพการงาน ความแตกต่างของเป้าหมายและผลประโยชน์นี้อาจนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจกัน

• การขาดการสื่อสารและความเข้าใจ

หากนายจ้างและพนักงานไม่สื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาอาจเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน เช่น นายจ้างอาจเข้าใจว่าพนักงานไม่เต็มใจทำงานหนัก ในขณะที่พนักงานอาจเข้าใจว่านายจ้างไม่ใส่ใจพวกเขา

• ประสบการณ์เชิงลบในอดีต

ความไม่ไว้วางใจกันอาจเกิดจากประสบการณ์เชิงลบในอดีต เช่น พนักงานที่เคยถูกนายจ้างปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ประสบการณ์เชิงลบเหล่านี้อาจทำให้นายจ้างและพนักงานไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน

เพื่อลดปัญหาความไม่เข้าใจกันระหว่างนายจ้างและพนักงาน เจ้าของกิจการควรดำเนินการดังนี้

สร้างความเข้าใจร่วมกัน

นายจ้างควรอธิบายถึงเป้าหมายขององค์กร แนวทางในการทำงาน และสวัสดิการของพนักงานให้พนักงานเข้าใจอย่างชัดเจน พนักงานควรอธิบายถึงความต้องการและข้อเรียกร้องของตนให้นายจ้างเข้าใจเช่นกัน

พัฒนาทักษะการสื่อสาร

นายจ้างและพนักงานควรพัฒนาทักษะการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจตรงกัน

เปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วม

นายจ้างควรเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจขององค์กร เพื่อให้พนักงานรู้สึกถึงความสำคัญและมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กร

สร้างความไว้วางใจกัน

นายจ้างควรสร้างบรรยากาศในการทำงานที่อบอุ่นและไว้วางใจกัน เพื่อให้พนักงานรู้สึกสบายใจที่จะพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนายจ้าง

เมื่อนายจ้างและพนักงานเข้าใจกันดี ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรก็จะสามารถเดินหน้าได้อย่างราบรื่น บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ และเติบโตอย่างยั่งยืน

แต่ถ้าคุณทำทุกวิถีทางแล้วยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่ถูกยอมรับ ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่นเขา

นั่นเป็นเพราะคุณไม่รู้ความลับ 1 เรื่อง นั่นก็คือ วิชา “จริต” มนุษย์

ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ แล้วรู้จักวิธีตอบสนองให้ตรงใจลูกน้อง ลูกค้า และคู่ค้า คุณจะเติบโตเร็วมาก

ถ้าคุณเป็นนักขาย นี่คือศิลปะการกระตุ้นต่อม “อยาก” ให้ลูกค้าวิ่งเข้าหาคุณ

หากคุณเป็นลูกน้อง แค่รู้เทคนิคนี้ เจ้านายจะขาดคุณไม่ได้

คุณจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ หากคุณรู้เทคนิคนี้

“ชนะใจลูกน้อง ครองใจเจ้านาย ได้ใจเพื่อนร่วมงาน ได้คอนเนคชั่นระดับลึกกับลูกค้า

นี่คือหลักสูตรออนไลน์ ความยาวทั้งสิ้นกว่า 2 ชั่วโมง มูลค่า 9,900 บาท
แต่ 7D เต็มใจให้เป็นของขวัญพิเศษแด่คุณ ฟรี !

สนใจเรียนหลักสูตรนี้ เพียงแค่สแกน QR Code
หรือกดที่ลิงก์นี้ได้เลย ➤   https://lin.ee/QOJZpRO

สอนโดย โค้ชโกโก้ ภูมิพัฒน์ ญาณพัฒน์ตระกูล
ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์การเรียนรู้ใจ รู้จริตคน ที่ได้รับการยอมรับจากองค์กรชั้นนำระดับประเทศมากกว่า 100 แห่ง
Scroll to Top