20 ข้อสงสัยของอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ไม่กล้าใช้ AI เขียนตำรา

20 ข้อสงสัยของอาจารย์ที่ไม่กล้าใช้ AI เขียนตำรา และคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ

ในยุคที่ AI โดยเฉพาะโมเดลภาษาอย่าง ChatGPT, Gemini, Claude หรือ Copilot เริ่มเข้ามามีบทบาทในงานวิชาการมากขึ้นทุกวัน มีอาจารย์จำนวนมากที่เริ่มนำ AI มาใช้ช่วยร่างหนังสือ ตำรา เอกสารการสอน ไปจนถึงเอกสารประกอบการขอตำแหน่งทางวิชาการ ขณะเดียวกันก็มีอาจารย์อีกจำนวนไม่น้อยที่ยังลังเล กังวล และมีคำถามในใจมากมาย

บทความนี้ได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อย พร้อมคำตอบจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ AI เขียนหนังสือและตำรามาแล้วหลายเล่ม ทั้งในฐานะนักเขียน นักวิชาการ และที่ปรึกษาด้านการพัฒนาเนื้อหาวิชาการด้วยเทคโนโลยี เพื่อให้อาจารย์ทุกท่านสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่าการใช้ AI ไม่ใช่การลดคุณค่าความเป็นนักวิชาการ — แต่เป็นการปรับตัวอย่างชาญฉลาดในโลกที่ไม่หยุดนิ่ง

1. ถ้าใช้ AI ช่วยเขียนตำรา จะผิดจริยธรรมหรือไม่?

ไม่ผิด หากใช้ AI อย่างมีวิจารณญาณและประกาศบทบาทของมันอย่างโปร่งใส

การใช้ AI เพื่อ “ช่วย” ไม่ใช่ “แทน” การคิดของมนุษย์ ถือเป็นการใช้เทคโนโลยีสนับสนุน ไม่ใช่การลักลอบลอกผลงาน เช่น อาจารย์สามารถใช้ AI เพื่อช่วยร่างเค้าโครง สรุปเนื้อหาเบื้องต้น ตรวจคำผิด หรือเสนอคำอธิบายเบื้องต้น แล้วนำไปวิเคราะห์ ปรับแก้ และกลั่นกรองใหม่ด้วยความรู้ของตนเอง

หลักการสำคัญคือ “AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้เขียน” และต้องมีมนุษย์เป็นผู้ตรวจสอบ ตัดสินใจ และรับผิดชอบเนื้อหาทั้งหมด

หากมีความกังวลเรื่องจริยธรรม คำแนะนำคือควรระบุไว้อย่างชัดเจนว่า AI ถูกใช้ในกระบวนการใดบ้าง เช่น ในหน้าเกริ่นนำหรือภาคผนวกของตำรา เพื่อแสดงเจตนาในการใช้เทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบ

2. การใช้ AI ถือว่าเป็นการลอกผลงานไหม?

ไม่ถือว่าเป็นการลอก หากมีการแก้ไข วิเคราะห์ และเสริมเนื้อหาด้วยตนเองอย่างแท้จริง

AI อย่าง ChatGPT ไม่ได้คัดลอกข้อความจากแหล่งใดโดยตรง แต่สร้างข้อความใหม่จากแบบจำลองภาษา (language model) ที่เรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาล ดังนั้นสิ่งที่ได้จึงไม่ใช่ “การลอก” แต่เป็น “การสังเคราะห์ใหม่”

สิ่งสำคัญคือ ผู้เขียนต้อง “นำเนื้อหาที่ได้ไปปรับต่อ” เช่น การเปลี่ยนสำนวน ยกตัวอย่างใหม่ วิเคราะห์ในมุมที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของตำรา และที่สำคัญคือตรวจสอบความถูกต้องเสมอ

ถ้าทำเช่นนี้ จะไม่ถือว่าลอก และยังช่วยประหยัดเวลาในการเขียนร่างเบื้องต้นอย่างมาก

3. AI คิดแทนคนได้จริงหรือ?

ไม่ได้ครับ — AI ไม่สามารถแทน “ความคิด” ของมนุษย์ได้

AI ไม่มีเจตนา ความเข้าใจ หรือคุณค่าทางจริยธรรม มันเป็นเพียงโปรแกรมที่ “คาดเดา” คำถัดไปจากคำสั่งที่ได้รับ ตัวอย่างเช่น หากสั่งให้ AI สรุปบทความ มันจะใช้ความน่าจะเป็นในการจัดวางข้อความให้ฟังดูสมเหตุสมผลเท่านั้น

แต่ AI ไม่เข้าใจ “ความลึกซึ้ง” ของสิ่งที่มันเขียน ไม่สามารถแยกแยะนัยยะทางวัฒนธรรม คุณธรรม หรือจริยธรรมได้อย่างแท้จริง นี่คือเหตุผลที่การใช้ AI ต้องมี “มนุษย์” คอยควบคุม ตรวจสอบ และใส่ “วิญญาณ” ลงไปในเนื้อหานั้น ๆ

4. จะบอกคณะกรรมการอย่างไรว่าเราใช้ AI อย่างถูกต้อง?

คำตอบคือ “เปิดเผยอย่างโปร่งใส พร้อมเอกสารประกอบ”

อาจารย์สามารถแนบคำอธิบายสั้น ๆ ว่าใช้ AI ช่วยในกระบวนการใดบ้าง เช่น

ใช้ ChatGPT สรุปบทที่ 1 จากต้นฉบับ

ใช้ช่วยร่างคำบรรยายแนวคิดเบื้องต้น แล้วนำมาปรับและเพิ่มอ้างอิงวิชาการเอง

ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์หัวข้อก่อนนำไปจัดเรียงใหม่

แนบตัวอย่าง Prompt ที่ใช้ พร้อมระบุว่าเนื้อหาผ่านการตรวจสอบโดยอาจารย์ทุกบรรทัด ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเริ่มสนับสนุน เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาฯ และมศว.

ยิ่งเปิดเผยมาก ยิ่งน่าเชื่อถือครับ

5. แล้วตำราจะมีคุณภาพเท่าเดิมไหม?

หากใช้ AI อย่างเหมาะสม คุณภาพจะ “สูงขึ้น” ไม่ใช่ “ต่ำลง”

เพราะ AI ช่วยจัดระเบียบความคิด สรุปเนื้อหาเบื้องต้น และร่างต้นฉบับได้อย่างรวดเร็ว อาจารย์จึงสามารถใช้เวลาที่มีค่าไปกับการวิเคราะห์ วิพากษ์ หรือใส่มุมมองที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เช่น แทนที่อาจารย์จะเสียเวลาเขียนคำนำ 3 วัน อาจใช้ AI เขียนร่างใน 5 นาที แล้วใช้เวลา 2 วันขัดเกลาให้ดีขึ้น ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม และลดความเหนื่อยล้าจากงานเขียนซ้ำซาก

ในแง่ของคุณภาพ AI ทำให้เนื้อหากระชับขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น แต่ยังต้องมี “แก่น” จากผู้เขียนที่มีความรู้เชิงลึก จึงจะได้ตำราที่สมบูรณ์แบบ

6. AI เขียนข้อมูลผิดบ่อย จะไว้ใจได้อย่างไร?

AI มีแนวโน้มที่จะสร้างข้อมูลที่ฟังดูน่าเชื่อถือแต่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “AI hallucination” หรือ “การแต่งเรื่อง” ซึ่งพบได้ในหลายเครื่องมือ เช่น ChatGPT หรือ Claude การแก้ปัญหานี้คือ ต้องมีขั้นตอนตรวจสอบหลังจากที่ AI ร่างข้อความเสร็จ เช่น การค้นหาต้นฉบับของข้อมูล ตรวจสอบกับฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ หรือใช้ AI แค่ร่างแล้วนำไปปรับต่อ ไม่ควรเชื่อแบบ 100% ทันที

7. จะบอกแหล่งอ้างอิงได้ยังไงในเมื่อ AI ไม่บอกที่มา?

แม้ AI อย่าง ChatGPT จะไม่อ้างอิงโดยตรงเสมอ แต่ผู้ใช้สามารถเพิ่มคำสั่งลงไปใน Prompt เช่น “โปรดอ้างอิงบทความวิชาการที่ตีพิมพ์ใน 5 ปีหลัง พร้อมชื่อวารสาร” หรือ “ระบุ DOI หรือ URL ของแหล่งที่ใช้” จากนั้นผู้เขียนควรนำแหล่งอ้างอิงเหล่านั้นไปตรวจสอบซ้ำอีกครั้งในฐานข้อมูลจริง เช่น Scopus, PubMed, TCI หรือ Google Scholar เพื่อความถูกต้องและน่าเชื่อถือในทางวิชาการ

8. มหาวิทยาลัยหรือ สกอ. อนุญาตหรือยัง?

มหาวิทยาลัยชั้นนำในไทยหลายแห่ง เช่น จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ มศว. ม.มหิดล ได้ออกแนวทางเบื้องต้นในการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ โดยยอมรับการใช้ AI เป็นเครื่องมือสนับสนุนการเรียนการสอนและการเขียน แต่ห้ามใช้แทนการคิด วิเคราะห์ หรือผลิตผลงานโดยไม่มีการตรวจสอบ ขณะที่สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกอ.) ก็สนับสนุนการปรับตัวสู่การใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด ไม่ได้ห้าม แต่เน้นให้มีจริยธรรมและความโปร่งใส

9. ถ้าโดนจับได้ว่าใช้ AI จะถูกตัดสิทธิ์ไหม?

ถ้าผู้เขียนใช้ AI อย่างถูกต้อง และเปิดเผยบทบาทของ AI อย่างชัดเจน ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องถูกตัดสิทธิ์ กลับกัน หากปกปิด หรือนำเนื้อหาที่ AI สร้างมาใช้โดยไม่ปรับแต่ง อาจทำให้ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องจริยธรรมวิชาการได้ ดังนั้น การมี “คำประกาศ” หรือคำอธิบายว่าใช้ AI อย่างไร มีการตรวจสอบโดยมนุษย์หรือไม่ ถือเป็นการป้องกันที่ดี และช่วยเสริมความน่าเชื่อถือของงาน

10. ถ้าไม่มีความรู้เรื่อง AI เลย จะเริ่มยังไง?

เริ่มจากเครื่องมือพื้นฐานอย่าง ChatGPT หรือ Copilot ที่ใช้ง่ายและเข้าถึงได้ฟรี ศึกษาว่าการใช้ Prompt คืออะไร ใช้ยังไง เช่น “สรุปบทที่ 1 เรื่อง…”, “ช่วยจัดโครงร่างเนื้อหาเรื่อง…” แล้วจึงทดลองใช้จากงานเล็ก ๆ เช่น บทนำ หรือสรุปบท ก่อนค่อย ๆ พัฒนาเป็นการใช้ในตำราเต็มเล่ม การเริ่มต้นเล็ก ๆ และเรียนรู้ไปพร้อมกันจะช่วยให้มั่นใจขึ้นอย่างมาก

11. ใช้ AI ช่วยตรวจการสะกดคำ การเรียงประโยค ได้ไหม?

สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถือเป็นวิธีการที่ปลอดภัยมาก เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาวิชาการโดยตรง แต่ช่วยให้ผลงานสะอาด อ่านง่าย และดูเป็นมืออาชีพขึ้น เครื่องมืออย่าง Grammarly, LanguageTool หรือ Microsoft Editor มีเวอร์ชันที่เหมาะกับทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย หากใช้ควบคู่กับ AI อย่าง ChatGPT จะช่วยให้ได้ข้อความที่มีโครงสร้างดีและน่าอ่านยิ่งขึ้น

12. ตำราที่เขียนด้วย AI จะขอ ISBN ได้ไหม?

ได้แน่นอน เพราะ AI ไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์ และตำราไม่ได้ถูกจัดว่าเป็น “งานสร้างสรรค์ของ AI” แต่ยังคงเป็นผลงานของอาจารย์ผู้เขียนที่เป็นผู้รวบรวม วิเคราะห์และตัดสินใจเนื้อหาทั้งหมด ISBN จะอ้างอิงตามชื่อผู้เขียนจริง ซึ่ง AI ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องความเป็นเจ้าของใด ๆ ดังนั้น ไม่ต้องกังวลเรื่องลิขสิทธิ์

13. จะสอนนักศึกษาอย่างไร หากอาจารย์ยังกลัว AI?

ในฐานะผู้นำทางความคิด อาจารย์ควรทำความเข้าใจ AI ให้ดีพอที่จะใช้สอนนักศึกษาได้ ไม่ใช่ในฐานะเครื่องมือให้ลอก แต่เป็นเครื่องมือให้คิดเร็วขึ้น วิเคราะห์ได้ดีขึ้น เช่น สอนให้รู้จักตั้งคำถามดี ๆ กับ AI แยกแยะว่าอะไรคือความคิดเห็นของ AI และอะไรคือข้อมูลจริง เพื่อฝึก “โยนิโสมนสิการ” หรือการคิดอย่างมีเหตุผล ไม่เชื่อแบบไม่ตรวจสอบ

14. ใช้ AI แล้วจะเสียเวลามากกว่าเดิมไหม?

ในช่วงเริ่มต้นอาจใช้เวลาศึกษาเล็กน้อย แต่เมื่อเข้าใจวิธีใช้งานแล้ว จะประหยัดเวลาได้มาก AI ช่วยร่างได้เร็ว ช่วยสรุปเนื้อหาได้ชัด ช่วยค้นโครงสร้างบท ช่วยเรียบเรียงให้ดีขึ้น สิ่งที่อาจารย์ต้องทำคือปรับ ตรวจ และวิเคราะห์ต่อ ซึ่งใช้เวลาและพลังสมองน้อยกว่าการเริ่มต้นจากศูนย์มาก

15. งานวิจัยจะมั่นใจได้อย่างไรว่า AI ไม่บิดเบือนผล?

AI ไม่ควรถูกใช้ในการ “สร้าง” ผลวิจัยโดยเด็ดขาด เช่น ไม่ควรให้ AI แต่งค่าทางสถิติ หรือผลการทดลองขึ้นมาเอง แต่สามารถให้ช่วย “สรุป” หรือ “ร่างรายงานผล” จากข้อมูลจริงที่เราวิเคราะห์แล้วได้ เช่น “ช่วยสรุปผลการวิเคราะห์ Regression Analysis ข้างล่างให้เข้าใจง่าย” ซึ่งยังต้องตรวจสอบซ้ำโดยนักวิจัย

16. จะใช้ AI ตรวจสอบความซ้ำซ้อน (Plagiarism) ได้ไหม?

AI อย่าง ChatGPT ยังไม่เหมาะสำหรับการตรวจ Plagiarism เพราะไม่มีการเข้าถึงฐานข้อมูลวารสารหรือเอกสารวิชาการจริง จึงควรใช้เครื่องมือเฉพาะทาง เช่น Turnitin, Grammarly Premium, iThenticate หรือ Plagscan ที่สามารถเทียบกับฐานข้อมูลจำนวนมาก และสรุปเปอร์เซ็นต์ความซ้ำซ้อนได้อย่างแม่นยำและถูกต้องตามหลักวิชาการ

17. ต้องอ้างอิงว่าใช้ AI อย่างไรในตำรา?

ควรมีส่วนท้ายตำรา หรือหน้าเกริ่นนำ ที่ระบุว่า AI ถูกใช้ในขั้นตอนใดบ้าง เช่น “ตำรานี้ใช้ AI เพื่อช่วยสรุปโครงร่างเบื้องต้นในบทที่ 1 และช่วยตรวจไวยากรณ์ในบทที่ 4 โดยผู้เขียนได้ปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับหลักวิชาการทั้งหมดแล้ว” การระบุให้ชัดเจนไม่ใช่แค่โปร่งใส แต่ยังสะท้อนความสามารถในการใช้เครื่องมืออย่างมีวิจารณญาณ

18. AI สร้างแผนภาพหรืออินโฟกราฟิกได้ไหม?

AI เช่น DALL-E, Canva AI หรือ Microsoft Designer สามารถสร้างภาพประกอบ แผนภาพ หรือกราฟิกที่เข้าใจง่าย และเหมาะกับการใช้ในตำรา โดยเฉพาะสำหรับเนื้อหาที่ยาก เช่น แผนภาพโครงสร้างโมเลกุล, การเปรียบเทียบเชิงแนวคิด หรือผังการตัดสินใจ ซึ่งทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น และตำราดูน่าสนใจยิ่งขึ้น

19. AI ช่วยออกแบบแบบทดสอบได้ไหม?

ได้ โดยสามารถสั่งให้ AI สร้างคำถามแบบปรนัย อัตนัย หรือแบบใช้สถานการณ์จำลอง พร้อมคำอธิบายแนวคิดเบื้องหลัง ตัวอย่าง Prompt เช่น “ช่วยสร้างแบบทดสอบ 10 ข้อ เกี่ยวกับการวิเคราะห์เชิงปริมาณ พร้อมเฉลยและคำอธิบาย” จากนั้นผู้เขียนนำไปตรวจสอบ ปรับระดับความยาก และความเหมาะสมต่อผู้เรียนต่อไป

20. จะมั่นใจได้อย่างไรว่าตำรานั้นเป็นของเรา ไม่ใช่ของ AI?

AI เป็นเพียงเครื่องมือในการประมวลผลข้อความตามคำสั่งของมนุษย์ ไม่สามารถกำหนดสาระ ความหมาย หรือทิศทางของเนื้อหาได้ด้วยตัวเอง ความเป็นเจ้าของจึงยังคงเป็นของผู้เขียน เพราะผู้เขียนคือผู้กำหนดหัวข้อ เลือกเนื้อหา วิเคราะห์ แก้ไข และตรวจสอบทั้งหมด ความคิดสร้างสรรค์และการเชื่อมโยงบริบทยังคงเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถแทนได้

___________________


อาจารย์ควรกลัว AI หรือควรเรียนรู้วิธีใช้อย่างชาญฉลาด?

การใช้ AI อย่างมีจริยธรรม โปร่งใส และรู้เท่าทัน จะทำให้อาจารย์สามารถยกระดับคุณภาพงานวิชาการได้อย่างมหาศาล AI จะไม่แทนที่ความเป็นครูหรือความรู้เชิงลึกของมนุษย์ แต่อาจช่วยเปิดเวลาให้เราคิดวิเคราะห์อย่างสร้างสรรค์มากขึ้น หากเราไม่กล้าใช้ AI ตอนนี้ อนาคตก็อาจเป็นคนอื่นที่ใช้ AI ดีกว่าเรา — และก้าวไปไกลกว่าเราในโลกวิชาการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

🎓 หากคุณอยากเริ่มต้นอย่างถูกวิธี
หลักสูตรนี้จะพาคุณเข้าใจตั้งแต่พื้นฐาน
“ใช้ AI เป็นผู้ช่วยเขียนตำรา”
✅ ปลอดภัย ✅ ถูกหลัก ✅ พร้อมใช้งานจริง

📌 ดูรายละเอียดและสมัครเรียนได้ที่นี่:
👉 https://eshop.7dhub.com/product/ใช้-ai-เป็นผู้ช่วยเขียนตำรา

Scroll to Top