ศาสตร์แห่งการบริหารความเสี่ยงในวันที่โลกผันผวน

ศาสตร์แห่งการบริหารความเสี่ยงในวันที่โลกผันผวน

รุ่นน้องคนหนึ่งถามผมหลังเวทีเสวนา เขาเดินเข้ามาด้วยแววตาที่ดูแน่วแน่ แต่เต็มไปด้วยคำถาม เขาบอกว่า “ในโลกที่ตัวแปรมากเหลือเกิน เราจะบริหารความเสี่ยงยังไงดีครับพี่?”

คำถามดูเรียบง่าย แต่จริง ๆ แล้วมันหนัก มันไม่ใช่แค่คำถามเชิงเทคนิค ไม่ใช่แค่ถามว่าควรซื้อประกันไหม ควรลงทุนแบบไหน หรือควรย้ายประเทศหรือเปล่า แต่มันคือคำถามระดับชีวิต คำถามของคนที่เริ่มเห็นว่า ไม่มีอะไรแน่นอนในโลกนี้ แม้แต่ความตั้งใจที่ดีที่สุด ก็ไม่การันตีผลลัพธ์อะไรเลย

ผมหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะตอบอะไร แต่เพราะอยากให้คำตอบมันออกมาจากใจ มากกว่าออกมาจากตำรา ผมไม่อยากโยน framework สำเร็จรูปหรือ checklist ที่ดูดีแต่ไม่มีหัวใจ เพราะผมรู้ว่า บางครั้งคำตอบที่ใช่สำหรับคนหนึ่ง อาจกลายเป็นกับดักของอีกคนหนึ่งก็ได้

ผมนึกถึงประโยคของซาเรน เคียร์เคอการ์ด นักปรัชญาชาวเดนมาร์กที่ว่า “ชีวิตจะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อมองย้อนกลับไป แต่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยการมองไปข้างหน้า” นั่นคือความย้อนแย้งที่เราอยู่กับมันทุกวัน เราไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้อย่างสมบูรณ์ แต่เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป เราไม่รู้หรอกว่าแผนที่วางไว้อย่างดีจะได้ผลจริงไหม แต่เราก็ยังต้องวางมัน

ในโลกที่ตัวแปรมากเหลือเกิน “การบริหารความเสี่ยง” จึงไม่ใช่การจัดการทุกอย่างให้เป๊ะ แต่คือการตั้งใจ “อยู่กับความไม่เป๊ะ” อย่างไม่แตกสลาย

ผมนึกถึงแนวคิดของลัทธิเต๋า ที่บอกว่า “สิ่งที่อ่อนนุ่มย่อมเอาชนะสิ่งที่แข็งกระด้าง” น้ำไหลได้ทุกที่เพราะมันไม่ยึดติดกับรูปร่าง มันเปลี่ยนไปตามภาชนะ แต่ยังคงความเป็นน้ำอยู่เสมอ

คนที่อยู่รอดในโลกที่ผันผวนที่สุด ไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุด หรือวางแผนดีที่สุด แต่คือคนที่ปรับตัวเร็ว และมีความยืดหยุ่นพอที่จะไม่หักก่อน

ผมเคยเป็นคนที่วางแผนชีวิตไว้เป๊ะมาก ว่าจะเรียนอะไร ทำงานอะไร แต่งงานเมื่อไหร่ มีลูกเมื่อไหร่ เกษียณเมื่อไหร่ แต่แล้วชีวิตก็พังแผนพวกนั้นทุกข้อ มันพาไปอีกเส้นทางหนึ่งที่ผมไม่เคยวางไว้ แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ผมกลับรู้สึกว่ามันพาไปไกลกว่าที่ผมเคยจินตนาการด้วยซ้ำ

เรากลัวความเสี่ยง เพราะเราอยากคุมทุกอย่างให้ได้ อยากรู้ว่าอีกห้าปีจะเป็นยังไง แต่โลกใบนี้มันไม่ใช่สนามสอบที่มีคำตอบเดียว ทุกอย่างเคลื่อนไหวเร็วไปหมด ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี แม้แต่ใจของตัวเองก็ยังเปลี่ยนได้ในเวลาไม่กี่เดือน

การบริหารความเสี่ยง

ผมตอบน้องคนนั้นไปว่า “เริ่มจากการนิยามให้ชัดก่อนว่า เราให้คุณค่าอะไร”

ถ้าสิ่งที่เราให้คุณค่ามากที่สุดคือ “อิสรภาพ” เราอาจต้องเลือกทางที่ดูผันผวนกว่า แต่ให้เราตัดสินใจได้เองมากกว่า ถ้าสิ่งที่เราให้ค่าคือ “ความมั่นคง” เราอาจยอมรับข้อจำกัดบางอย่าง เพื่อแลกกับความนิ่งในระยะยาว ไม่มีอะไรถูกผิด มีแค่เหมาะหรือไม่เหมาะกับใจของเราในจังหวะเวลานั้น

การบริหารความเสี่ยง ไม่ได้เริ่มจากการคาดเดาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่เริ่มจากการเข้าใจตัวเองให้ลึกพอ ว่าเรารับมืออะไรได้ และไม่อยากเจออะไรเลย

คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองยอมเสียอะไรไม่ได้ มักจะวิ่งหนีทุกความเสี่ยง แต่คนที่รู้ว่า “อะไรคือสิ่งที่ควรปกป้องไว้ที่สุด” เขาจะรู้ว่าควรเสี่ยงอะไร เพื่อรักษาสิ่งนั้นไว้

บางคนเสี่ยงลาออกจากงานประจำที่มั่นคง เพื่อไปทำสิ่งที่เขารัก เขาเสี่ยง เพราะเขารู้ว่า ถ้าไม่เสี่ยง เขาจะเสีย “ชีวิตที่มีความหมาย” ไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว

บางคนกลับกัน เขาเลือกอยู่ที่เดิม แม้งานจะน่าเบื่อ แต่เขาไม่เสี่ยงเปลี่ยน เพราะเขารู้ว่า “เวลาอยู่กับลูกและครอบครัว” สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด

ผมนึกถึงหลักโยนิโสมนสิการในพุทธศาสนา ที่ชวนให้เราคิดอย่างลึกซึ้ง มองให้เห็นเหตุและผล ไม่ใช่แค่เห็นภาพสวยงามในหัว แต่เห็นกระบวนการที่แท้จริงของสิ่งต่าง ๆ เราถูกปลูกฝังให้คิดแค่ “ดี-ไม่ดี” แต่ไม่ได้ถูกสอนให้คิดว่า “ดีแบบไหน เหมาะกับใคร ในเวลาไหน”

การบริหารความเสี่ยงแบบโยนิโสมนสิการจึงไม่ใช่การเดาว่าอะไรจะเกิด แต่คือการถามตัวเองลึก ๆ ว่า “ถ้าเกิดสิ่งนั้น ฉันจะรู้สึกยังไง จะรับมือยังไง และพร้อมหรือยัง”

น้องคนนั้นพยักหน้า แล้วถามผมกลับว่า “แล้วถ้าเราพลาดล่ะพี่ เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราพลาดเพราะเสี่ยงเกินไป หรือพลาดเพราะไม่เสี่ยงเลย?”

ผมหัวเราะเบา ๆ แล้วบอกว่า “ถ้าเราพลาดเพราะกล้า เราเจ็บแป๊บเดียว แต่ถ้าเราพลาดเพราะไม่กล้า เราจะเสียใจไปนานเลย”

ในโลกที่ตัวแปรเปลี่ยนตลอด เราไม่สามารถคุมผลลัพธ์ได้ แต่เราคุมการตัดสินใจได้ เราคุมท่าทีของตัวเองได้ ว่าเราจะยืดหยุ่นหรือแข็งทื่อ จะตั้งรับอย่างเฉลียวฉลาด หรือหลบเลี่ยงอย่างหวาดกลัว

บริหารความเสี่ยง

ผมนึกถึงคำของนัสซิม ทาเล็บ ที่บอกว่า “คนที่เข้าใจความเสี่ยง ไม่ใช่คนที่ไม่กลัวความไม่แน่นอน แต่คือคนที่ใช้มันเป็นเครื่องมือในการเติบโต” ทาเล็บเรียกสิ่งนั้นว่า Antifragile คือไม่ใช่แค่ไม่เปราะ แต่ยิ่งถูกกระทบยิ่งแข็งแรงขึ้น

มนุษย์ก็เป็นแบบนั้น ถ้าเราไม่กลัวการล้ม เราจะกล้าก้าว กล้าเรียนรู้ และสุดท้ายเราจะเติบโตแบบที่ไม่มีใครคาดคิด แม้แต่ตัวเราเอง

สุดท้ายผมบอกน้องคนนั้นว่า “อย่ามัวแต่หาทางที่ปลอดภัยที่สุด แต่ให้หาทางที่ใช่ที่สุดสำหรับเรา” ความเสี่ยงที่เราเลือกเอง ย่อมดีกว่าความปลอดภัยที่คนอื่นยัดเยียดมาให้

เขายิ้มแล้วบอกว่า “ขอบคุณครับพี่ ผมว่า ผมไม่ได้อยากรู้ว่าจะบริหารความเสี่ยงยังไงหรอก ผมแค่อยากแน่ใจว่า ถ้าเลือกผิด มันไม่แปลว่าผมล้มเหลว”

ผมพยักหน้า “ถูกแล้ว ความล้มเหลวที่แท้จริง คือการไม่กล้าลองเลยต่างหาก”

เราทุกคนล้วนอยู่ในโลกที่ไม่แน่นอน ไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีใครตอบแทนเราได้ แต่เราสามารถอยู่กับโลกที่ผันผวนนี้ได้อย่างไม่พัง ถ้าเรารู้ว่า เราเป็นใคร ให้ค่าอะไร และพร้อมจะยอมแลกอะไร เพื่อไม่เสียสิ่งนั้นไป

แต่อาจเป็นการไม่ตัดสินใจอะไรเลย แล้วปล่อยให้ชีวิตไหลไปตามแรงผลักของคนอื่น โดยไม่มีโอกาสได้ถามตัวเองเลยว่า…เราจะเอาอะไรจากชีวิตกันแน่

และถ้าคำถามนี้ยังตอบไม่ได้ในวันนี้ ก็ไม่เป็นไร แค่กล้าที่จะถามมันซ้ำ ๆ ทุกครั้งที่ทางแยกใหม่ปรากฏขึ้น คุณก็เริ่มบริหารความเสี่ยงของชีวิตแล้ว

ในแบบที่เป็นมนุษย์จริง ๆ ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ต้องถูกต้องเสมอไป บางวันเราจะล้ม บางวันเราจะกลัว บางวันเราอาจอยากย้อนกลับ แต่ถ้าเรายังเดินด้วยความเข้าใจ ยังเลือกด้วยความตั้งใจ

นั่นแหละ…คุณกำลังเดินอยู่ในเส้นทางที่ดีพอสำหรับคุณแล้ว แม้จะไม่ใช่เส้นทางที่ดีที่สุดในสายตาใครก็ตาม

และถ้าสุดท้ายคุณพบว่า…เส้นทางที่คิดว่าใช่ตอนนี้ กลายเป็นทางที่ไม่ใช่ในวันหนึ่ง คุณก็ยังสามารถเลี้ยวได้ใหม่เสมอ เพราะโลกนี้ไม่เคยปิดทางให้คนที่กล้าเริ่มใหม่ แม้แต่ในวันที่ตัวแปรเปลี่ยนไปหมดแล้วก็ตาม

แค่คุณยังกล้าถามตัวเองว่า “เราจะเอาอะไรจากชีวิต” คุณก็มีเข็มทิศอยู่ในมือแล้ว

เข็มทิศที่พาไปได้ไกลกว่าคำว่า “ปลอดภัย” แต่นำไปสู่คำว่า “มีชีวิต” อย่างแท้จริง

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญของผู้นำยุคใหม่ ผู้ที่สามารถ บูรณาการ AI เข้ากับวิสัยทัศน์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถพาองค์กร ก้าวข้ามขีดจำกัด มองเห็นโอกาสก่อนใคร และสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืน

“ผู้นำที่ผสมผสาน AI กับวิสัยทัศน์ จะมองเห็นโอกาส และนำองค์กรไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่”

คัมภีร์สำหรับผู้นำยุคใหม่ ซึ่งจะช่วยให้คุณนำ AI มาผสมผสานกับการบริหารอย่างมีกลยุทธ์ เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ วางแผน และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทีมงาน เนื้อหาในเล่มจะช่วยให้คุณเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานการประยุกต์ใช้ AI ในองค์กร ไปจนถึงกรณีศึกษาจริง เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ในยุคดิจิทัล

Scroll to Top