ศาสตราจารย์อายุน้อยที่สุดในโลก…เขาคิดแบบไหน?

ศาสตราจารย์อายุน้อยที่สุดในโลก...เขาคิดแบบไหน?

เมื่อเรานึกถึงคำว่า “ศาสตราจารย์” ภาพแรกในหัวของคนส่วนใหญ่มักเป็นผู้ชายผมหงอกบางส่วน ใส่สูท ติดเนกไท อยู่ในมหาวิทยาลัยมานานหลายสิบปี เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางระดับสูง เป็นเจ้าของงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศ และถ้าไม่อยู่ในห้องสมุด ก็มักอยู่ในห้องประชุม

แต่ภาพเหล่านั้นอาจต้องอัปเดตใหม่ เพราะวันนี้ คำว่า ศาสตราจารย์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องอายุ หรือจำนวนปีในวิชาชีพอีกต่อไป มันเริ่มกลายเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับ “คุณค่าที่สร้างให้โลก” มากกว่าตำแหน่ง

ศาสตราจารย์ Alia Sabur

ย้อนกลับไปปี 2008 เด็กสาวคนหนึ่งชื่อ Alia Sabur กลายเป็นเจ้าของสถิติโลกว่าเป็น “ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดในโลก” จากการรับตำแหน่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Konkuk ประเทศเกาหลีใต้ ขณะอายุเพียง 18 ปี 362 วัน ซึ่ง Guinness World Records รับรองไว้เป็นทางการ (ที่มา: Guinness World Records)

Alia ไม่ได้แค่เรียนเร็ว เธอเข้ามหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ตอนอายุเพียง 10 ปี จบปริญญาตรีสาขาฟิสิกส์ตอนอายุ 14 และต่อยอดสู่การทำวิจัยด้านวัสดุศาสตร์และนาโนเทคโนโลยี

แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าความเร็ว คือ “แนวคิดของเธอ” เธอไม่ได้เรียนเพื่อจะเก่งกว่าใคร แต่เธอเรียนเพราะเชื่อว่า “ความรู้คือสิ่งที่ต้องนำไปใช้เพื่อช่วยคนอื่น”

Alia ใช้เวลาหลายปีในการทำงานวิจัยเกี่ยวกับวัสดุทางการแพทย์ เพื่อพัฒนาอุปกรณ์ที่ปลอดภัยกว่า ราคาถูกกว่า และเข้าถึงได้มากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา

เธอมองว่า วิทยาศาสตร์ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตคนให้ดีขึ้นได้

คำพูดหนึ่งของเธอที่สะท้อนมุมคิดได้ชัดเจนคือ “ความรู้ไม่ใช่สิ่งที่ไว้โชว์ มันคือเครื่องมือที่ควรถูกใช้อย่างรับผิดชอบ”

แนวคิดนี้เอง ที่ทำให้เธอกลายเป็น “ศาสตราจารย์” ที่โลกยอมรับ ไม่ใช่แค่เพราะอายุ แต่เพราะ “คุณค่า” ที่เธอเลือกจะสร้าง

ศาสตราจารย์ Suborno Isaac Bari

ข้ามมาที่ปี 2025 เด็กชายชื่อ Suborno Isaac Bari ก็ทำให้โลกต้องหันกลับมาทบทวนคำว่า “ศาสตราจารย์” อีกครั้ง

เขาอายุเพียง 12 ปี แต่ได้รับการยอมรับจากหลายสื่อ เช่น Business Report, Firstpost และ PEP.ph ว่าเป็น “ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดในโลก” ในยุคนี้ (ที่มา: PEP.ph)

Suborno เริ่มแสดงความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และสามารถตอบคำถามฟิสิกส์ระดับมหาวิทยาลัยได้อย่างถูกต้องในวัยเพียง 7 ปี เขาได้รับการเชิญไปพูดใน TEDx ตั้งแต่ยังเรียนประถม และได้รับรางวัลเชิดชูจากบุคคลระดับโลกมากมาย

แต่สิ่งที่ทำให้เขาเป็นมากกว่า “เด็กอัจฉริยะ” ก็คือ เขาเลือกที่จะ สื่อสารความรู้ให้คนทั่วไปเข้าใจได้

Suborno เขียนหนังสือ พูดในเวทีสาธารณะ และใช้โซเชียลมีเดียเพื่อสอนคนธรรมดาให้เข้าใจฟิสิกส์

เขาไม่ได้ทำเพื่อเรียกยอดวิว แต่ทำเพราะเชื่อว่า “วิทยาศาสตร์ไม่ควรเป็นเรื่องไกลตัว”

แนวคิดของเขาคือ “ถ้าคนทั่วไปยังกลัววิทยาศาสตร์ นั่นแปลว่าเรายังสอนมันได้ไม่ดีพอ”

เขาไม่ได้ใช้ความรู้เพื่อสร้างกำแพง แต่ใช้เพื่อสร้างสะพาน เพื่อเชื่อมเด็ก คนธรรมดา และสังคม เข้าหาองค์ความรู้ที่เคยถูกผูกขาด

Yasha Asley

อีกฟากหนึ่งของโลก Yasha Asley จากอังกฤษ ก็กลายเป็นครูมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุเพียง 13 ปี

เขาเป็นนักคณิตศาสตร์ที่เรียนจบปริญญาตรีตอนอายุ 14 และกลายเป็น “พนักงาน” ที่มหาวิทยาลัย Leicester ก่อนอายุ 15 (ที่มา: Wikipedia – Yasha Asley)

แม้จะเก่งคณิตศาสตร์ระดับสูง แต่ Yasha บอกเสมอว่า…

“ความสามารถที่สำคัญกว่า คือการอธิบายเลขให้คนไม่กลัวเลข”

เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการติวคนทั่วไป ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ใช่เพื่อทำให้คนสอบผ่าน แต่เพื่อให้ “เข้าใจ” และ “เห็นคุณค่า” ของคณิตศาสตร์ที่มีต่อชีวิตจริง

ศาสตราจารย์ อาจารย์มหาวิทยาลัย

พวกเขาไม่ได้วัดกันที่อายุ ไม่ได้แข่งกันที่ใบปริญญา แต่แข่งกันที่ว่า “ใครสร้างคุณค่าได้มากกว่า” และ “ใครทำให้ความรู้เข้าถึงคนได้จริง”

คนเหล่านี้มีบางอย่างเหมือนกันทั้งหมด

1. พวกเขาไม่ได้เรียนเร็วเพื่อจะอวดเก่ง
2. พวกเขาไม่ได้สร้างตัวเองเพื่อแข่งขันกับคนอื่น
3. พวกเขาเชื่อว่า “ความรู้ที่แท้จริง = ความรับผิดชอบต่อโลก”

พวกเขาใช้ความเก่งอย่างเงียบ ๆ แต่สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน

ลองนึกภาพ…
เด็กอายุ 12 ปี ที่ใช้เวลาว่างเขียนหนังสือ
เด็กอายุ 13 ปี ที่สอนคณิตศาสตร์ให้ผู้ใหญ่
เด็กอายุ 18 ปี ที่ทำวิจัยเพื่อพัฒนานาโนเทคโนโลยีให้ปลอดภัยกับมนุษย์

นี่ไม่ใช่ “ปาฏิหาริย์” แต่นี่คือผลของ “แนวคิด” ที่เริ่มต้นถูกทางตั้งแต่แรก

ศาสตราจารย์ การศึกษา

เราสอนเด็กให้เชื่อว่า “สอบให้ได้คะแนนดี” = สำเร็จ
แต่เราไม่เคยสอนให้เขาคิดว่า “ใช้ความรู้ให้คนอื่นดีขึ้น” = ความสำเร็จที่แท้จริง

เราเร่งให้เขาเรียนเร็วขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยให้เขาคิดลึกขึ้น

เราสร้างโรงเรียนเพิ่ม แต่ไม่สร้าง “พื้นที่ให้เด็กได้ใช้ความคิด” เพิ่ม

เด็กไทยหลายคนเก่งมาก แต่ยังไม่กล้าใช้
เข้าใจเยอะ แต่ยังไม่กล้าอธิบาย
มีความสามารถ แต่ไม่กล้าฝันใหญ่

คำถามไม่ใช่แค่ว่า “เราจะสร้างเด็กอัจฉริยะได้อีกกี่คน?”
แต่คือ “เราจะสร้างคนธรรมดาให้กล้าใช้ความรู้เพื่อคนอื่นได้กี่คน?”

ศาสตราจารย์ การศึกษา

ในยุคที่ AI ตอบทุกอย่างได้ในไม่กี่วินาที โลกกำลังต้องการ “คนที่ใช้ความรู้เพื่อเปลี่ยนโลก” ไม่ใช่แค่ “คนที่มีความรู้แล้วเก็บไว้ใช้คนเดียว”

และนี่คือคำถามที่เราทุกคนควรถามตัวเอง ในฐานะพ่อแม่ ในฐานะครู ในฐานะผู้นำองค์กร หรือแม้แต่ในฐานะคนธรรมดาที่มีความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

เราแค่รู้… หรือเราได้ใช้สิ่งที่รู้เพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรไปแล้ว?

เพราะโลกไม่ได้ถามว่า “คุณเรียนเก่งแค่ไหน” แต่มันถามว่า “คุณทำให้ใครดีขึ้นได้บ้าง?”

คนที่เปลี่ยนโลก…ไม่จำเป็นต้องรอให้มีอายุมาก บางคนเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 บางคนเริ่มสร้างสะพานให้คนอื่น ในวันที่ยังไม่มีใครเชื่อว่าพวกเขาจะทำได้

นั่นแหละ คือศาสตราจารย์ตัวจริง ไม่ใช่เพราะตำแหน่ง แต่เพราะความตั้งใจจะสร้างความรู้…ให้มีความหมาย

AI & Automation in Education

เพราะโลกการศึกษาไม่ได้แค่เปลี่ยน…แต่มันกำลังถูกปฏิวัติ

ไม่ใช่แค่ AI แต่มันคือ AI + Automation ที่สามารถจัดการทุกงานซ้ำซาก และสร้างผลลัพธ์แบบอัตโนมัติในทุกระดับของระบบการศึกษา

นี่ไม่ใช่แค่เวิร์กช็อป แต่มันคือการปฏิวัติวิธีการทำงานของคนในวงการศึกษา ไม่ว่าคุณจะเป็น…

• ครูที่อยากมีเวลาสอนมากกว่าตรวจข้อสอบ
• อาจารย์ที่อยากได้ระบบช่วยเขียน–ช่วยสรุป–ช่วยตอบ
• ผู้บริหารที่อยากพาองค์กรเข้าสู่ยุคใหม่อย่างมีชั้นเชิง

Scroll to Top