ทำอย่างไร? ให้เป็นที่ปรึกษาเงินล้าน

ทำอย่างไร? ให้เป็นที่ปรึกษาเงินล้าน

ทำอย่างไร? ให้เป็นที่ปรึกษาเงินล้าน

สรุปบทเรียนดีๆ จาก ดร.วศ. สิริพงศ์ จึงถาวรรณ LEAN Master จากบริษัท ทำน้อยได้มาก จำกัด ในงานสัมมนา เปลี่ยนอาจารย์ นักวิชาการ นักวินิจฉัย วิทยากร ที่ปรึกษาธรรมดาๆ เป็นที่ปรึกษาเงินล้าน

คนเราเมื่อใกล้วัยเกษียณ สิ่งที่มีค่าที่สุดไม่ใช่รูปร่างหน้าตา แต่คือประสบการณ์ที่สั่งสมมา คำถามคือทำอย่างไร? ให้ประสบการณ์เหล่านี้สามารถนำไปช่วยเหลือผู้อื่นได้ คำตอบของอาจารย์เอสคือการเป็น “ที่ปรึกษาธุรกิจ” ที่สามารถเป็นได้ถึง 8 สายงานด้วยกัน

8 สายงานชั้นยอด ที่ส่งมอบความรู้สู่ผู้อื่น

ในงานที่ปรึกษาสำหรับอาจารย์เอส เราจะต้องวิเคราะห์และวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะสามารถเชื่อมโยงความเชี่ยวชาญเก่าๆ ของเราและนำไปใช้ได้จริง

1. อาจารย์/วิทยากร

อาจารย์เอสเล่าว่า อาชีพวิทยากรและอาจารย์ในมหาลัย มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงมาใช้ระบบ outsource มากขึ้น เนื่องจากควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีกว่า เพราะจ่ายเงินตามจำนวนงานที่ได้รับ โดยไม่ต้องจ่ายเงินเดือนประจำ

ในกระบวนการเป็นวิทยากรนั้นต้องมีการตรวจสอบและวางแผนเนื้อหาที่จะสอนให้เป็น product ที่น่าสนใจและมีความต้องการในตลาด เช่น การขายคอร์สความปลอดภัยที่เป็นที่ต้องการของทุกบริษัท เป็นต้น

ในการตั้งราคาและการต่อรองค่าตัววิทยากรก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสมและสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่ผู้สอน

2. นักวินิจฉัย

นักวินิจฉัยในเชิงธุรกิจ มีบทบาทคล้ายกับแพทย์ผู้วินิจฉัยโรคในทางการแพทย์ เพียงแต่ทำหน้าที่วินิจฉัยปัญหาและโอกาสในด้านธุรกิจแทน โดยเข้าไปตรวจสอบและวิเคราะห์สภาพปัจจุบันของบริษัท

นักวินิจฉัยจะรวบรวมข้อมูลและเขียนแผนการวิเคราะห์ที่ชัดเจน เช่น หากพบว่าบริษัทมีปัญหาด้านใด จะทำการระบุปัญหาและเสนอแนวทางแก้ไข หลังจากนั้นจึงส่งแผนการวิเคราะห์นี้ให้กับเจ้าของบริษัทเพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจต่อไป

สำหรับการวินิจฉัยธุรกิจอาจใช้เวลา 1 วัน โดยมีค่าจ้างตั้งแต่ 10,000 ถึง 20,000 บาท หรือในบางกรณีอาจสูงถึง 50,000 บาทเลยทีเดียว

3. ที่ปรึกษา

ที่ปรึกษาส่วนใหญ่จะมีหน้าที่ให้คำแนะนำในลักษณะของการประชุมกลุ่มเล็กๆ มากกว่าการสอนในห้องเรียน ซึ่งการเป็นที่ปรึกษาก็จะต้องวิเคราะห์ยอดขายและหาสาเหตุว่าทำไมยอดขายถึงไม่เติบโต พร้อมเสนอแนะให้บริษัทเข้าสู่ช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆ หรือเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มยอดขาย

4. ผู้เชี่ยวชาญ

ผู้เชี่ยวชาญจะต้องเข้าไปช่วยเหลือโรงงานและธุรกิจในการปรับปรุงกระบวนการผลิตและการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จและการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว เช่น การลดจำนวนพนักงานโดยไม่ให้กระทบต่อการผลิต เป็นต้น

5. พี่เลี้ยง/โค้ช

คนที่เป็นพี่เลี้ยงจะมีบทบาทในการดันธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ธุรกิจเล็กๆ หรือธุรกิจระดับหลักหน่วย หลักสิบ หลักร้อย เติบโตตามมาได้

ส่วนโค้ชจะมีบทบาทแตกต่างจากพี่เลี้ยง โค้ชจะใช้วิธีการถามเพื่อให้ผู้รับคิดหาคำตอบเอง โดยไม่บอกวิธีการอย่างชัดเจน เพราะตัวโค้ชอาจจะไม่มีประสบการณ์ตรงในสาขานั้นๆ แต่จะมีความรู้ทางด้านจิตวิทยาและการพัฒนาตัวเอง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการให้คำแนะนำและการเป็นโค้ชมากกว่า

6. นักเขียน

หนังสือคือหนึ่งเส้นทางการมอบความรู้ที่ดี ซึ่งการเป็น นักเขียน ที่ประสบความสำเร็จไม่เพียงแค่การเขียนหนังสือที่ดี แต่ยังต้องมีการโปรโมตและ PR ตัวเองให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างด้วย

7. คณะกรรมการบริหาร

กรรมการบริหารเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากในองค์กร คนที่เป็นกรรมการบริหารจะต้องมีความสามารถและความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เวลาเลือกกรรมการบริหาร คนที่ถูกเลือกจะต้องเก่งเรื่องการเงินและสามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับเจ้าของหรือ CEO ของบริษัทได้

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือบริษัทอิชิตัน ที่มีการทำ Warehouse อัตโนมัติหมดแล้ว กรรมการบริหารต้องเข้าใจในกระบวนการนี้ เช่น การใช้หุ่นยนต์ในการบรรจุขวดชา การต้มชาและดูดน้ำลงขวด ทำให้การขยายโรงงานเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนอย่างดี

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่ากรรมการบริหารต้องมีความสามารถรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การจัดการ หรือการวางแผนเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้บริษัทเติบโตและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน

8. คณะทำงานระดับมันสมอง

บางครั้งคณะทำงานระดับสมองจะต้องเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อบรรลุเป้าหมาย อย่างเช่นตอนนี้ กลุ่มของเราอยากได้แผนการขยายตลาดให้กับเกษตรกร ซึ่งหมายความว่าเราต้องคิดหาวิธีการทำให้มันเป็นไปได้

สารพัดเทคนิคทางการตลาดด้วย AI

การใช้ AI เป็นหนึ่งในวิธีสำคัญสำหรับขั้นตอนการ ทำอย่างไร? ให้เป็นที่ปรึกษาเงินล้าน

เริ่มแรก คนเราจะพัฒนาขึ้นได้ต้องรู้ก่อนว่าเรามีอะไรดี และมีอะไรที่ต้องปรับปรุง ก่อนอื่นจึงต้องหาจุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจให้เจอ ถ้าหาไม่เจอลองให้ AI เป็นผู้ช่วยวิเคราะห์ เพียงแค่..

ใส่ประวัติ บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเรา แล้วบอกให้ AI ช่วยวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของเรามา 3 ข้อ และถามว่า “ผมอยากพัฒนาตัวเองเพิ่มจากเนื้อหาด้านบน ควรทำยังไงดี” เพียงเท่านี้ก็ได้กรอบข้อมูลเพื่อนำมาพัฒนาธุรกิจได้

5 ต้นแบบของคุณคือใคร? นึกถึงสิ่งที่เป็นต้นแบบของคุณให้ได้

ก่อนอื่นต้องมองหาไอดอลก่อน เราได้ดูตัวอย่างจากหลายๆ คนแล้วก็เข้าใจว่าแบบไหนที่เหมาะกับเรา โดยอาจารย์เอสได้เทคนิคดีๆ มาจากต้นแบบของท่าน คือ

การเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ทำครบ 4 ขา

ขาที่ 1 คือสอนในมหาวิทยาลัย
ขาที่ 2 ไปทำวิจัย
ขาที่ 3 ทำ consult กับบริษัทต่างๆ
ขาที่ 4 เขียนหนังสือ

การออกแบบสินค้าของคุณจะเป็นอย่างไร ใครเป็นลูกค้า ราคาเท่าไร ต้นทุนเท่าไร?

ในการออกแบบสินค้าสามารถแบ่งออกเป็น 4 อย่าง เพื่อกำหนดกรอบที่ชัดเจน ในการพัฒนาสินค้าให้ทันสมัยและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้

C: กลุ่มสินค้าของเราเป็นใคร

P: โปรดักส์ของเราเป็นยังไง

RS: โมเดลราคาของเรา

CS: กรอบต้นทุน

วิธีขายงานบริษัทจากอาจารย์เอส

อาจารย์เล่าว่า เวลาที่ต้องเข้าไปขายงานให้บริษัทใหญ่ๆ จะไม่ค่อยได้เจอตัวจริง เพราะบริษัทเหล่านี้จะมีหน่วยงาน HR หน่วยงานจัดซื้อหรือหน่วยงาน Academy ที่ดูแลเรื่องการอบรมต่างๆ ซึ่งหน่วยงานเหล่านี้จะมีการวางแผนประจำปีเอาไว้แล้ว

เมื่ออาจารย์เข้าไปเสนอการอบรม ก็จะขอดูแผนประจำปีก่อน ถ้าได้ดูอาจารย์ก็จะรู้เลยว่าปีหน้ามีการอบรมเรื่องอะไรบ้าง แล้วจะอาสาออกแบบหลักสูตรให้ ถ้าทำการออกแบบให้ บริษัทก็จะรู้สึกว่าไม่ต้องทำเอง อาจารย์จะเสนอหลักสูตรให้เขาฟังแล้วทางบริษัทจะไปเสนอหัวหน้าอีกที ถ้ารู้ว่าหัวหน้าต้องการอะไร การทำงานก็จะง่ายขึ้น

เมื่อไปรับข้อมูลดริฟต์ อาจารย์จะถามว่าบริษัทต้องการสอนใคร กลุ่มลูกค้ามีลักษณะยังไง และต้องการคอนเทนต์แบบไหน แล้วอาจารย์จะส่งตัวอย่างคอนเทนต์ให้ทางบริษัทดูก่อน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

ส่วนการเข้าไปเสนอขายงานกับหน่วยงานราชการต้องเข้าใจว่า กระบวนการจัดจ้างมีอยู่สองแบบ คือ จ้างเฉพาะเจาะจง และเปิดประมูล ซึ่งเราต้องเข้าใจแผนงานของแต่ละหน่วยงาน และต้องมีการวิเคราะห์ว่าหน่วยงานนั้นๆ ต้องการอะไร

การขายงานในยุคปัจจุบัน AI มีบทบาทสำคัญมากในการช่วยร่างหลักสูตรและวางแผนการอบรม ทำให้กระบวนการทำงานง่ายขึ้น แต่การเข้าใจลึกซึ้งในเนื้อหาที่จะสอน และการมีตัวอย่างผลงานที่น่าเชื่อถือก็ยังคงสำคัญอยู่

กราฟชีวิต

การให้คะแนนกราฟชีวิตในแต่ละส่วนจะช่วยให้เกิดความบาลานซ์ โดยอาจารย์เอสได้แยกออกมาเป็น 11 อย่าง ได้แก่ รายได้ อาชีพ สินทรัพย์ สุขภาพ การเรียน/การพัฒนาตัวเอง ความสุข สถานะทางสังคม ครอบครัว การท่องเที่ยว กิจกรรม และอื่นๆ แล้วให้คะแนนในแต่ละส่วนเพื่อออกแบบกราฟชีวิตของตนเอง

วงจรสร้างธุรกิจแบบลีน

การสร้าง การวัดผลและการเรียนรู้ คือวงจรสร้างธุรกิจแบบลีน โดยอาจารย์เอสเล่าว่า

ในอดีตเวลาเขียนหนังสือต้องคิดเอง เขียนเองทั้งเล่มแล้วค่อยส่งให้สำนักพิมพ์ ตอนนี้สำนักพิมพ์จะถามเรื่องของสารบัญก่อน ต้องทำสารบัญให้ดีแล้วค่อยเขียน จากนั้นเขียนบทที่ 1 มาให้สำนักพิมพ์ดู ถ้าสำนักพิมพ์เห็นว่าโครงสร้างและภาษาใช้ได้ก็ผ่าน นี่คือการสร้าง จากนั้นนำไปเทสต์แล้วถามความคิดเห็นจากลูกค้า ถ้ามีอะไรต้องปรับเปลี่ยนหรือเพิ่ม ก็จะลิสต์ไว้เหมือนรูปที่เราคิดก่อนเขียนหนังสือ

ก้าวหน้า 100 เท่า! ด้วยการออกแบบ Business Model

อาจารย์เอสได้ให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจลูกค้าและการออกแบบ Business Model เป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เราเป็นบุคคลรายได้หลักล้าน ถือเป็นกระบวนการที่ห้ามพลาดในขั้นตอน ทำอย่างไร? ให้เป็นที่ปรึกษาเงินล้าน

ทำความเข้าใจลูกค้า ด้วย Empathy Map Canvas

Empathy Map Canvas คือเครื่องมือที่ใช้ในการทำความเข้าใจลูกค้าหรือผู้ใช้บริการในเชิงลึก โดยใช้การวิเคราะห์ทางด้านอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด และการกระทำของพวกเขา

เครื่องมือนี้ช่วยให้ทีมงานหรือธุรกิจสามารถมองเห็นภาพรวมของผู้ใช้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น

การปรับเปลี่ยนไอเดียไปตามสถานการณ์

สมมติในตอนแรกมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย 2 กลุ่มที่ได้วิเคราะห์มา แต่เมื่อดำเนินการไปได้สักพักพบว่าไม่ถูกต้อง จึงต้องปรับเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าใหม่เป็นกลุ่มที่ 3 หรือตัวสินค้าที่ให้บริการหรือ solution ที่เราขายอยู่ ต้องดูว่าเหมาะกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่หรือไม่

หรือวันแรกมีไอเดียทำหนังสือ 20 เล่ม แต่พอวิเคราะห์ตลาดจริงๆ แล้ว เหลือแค่ 6-7 เล่มที่เป็นไปได้ สุดท้ายก็จะมีแค่เล่มหรือสองเล่มที่สามารถขายได้ดี ดังนั้นการขยายตลาดจึงต้องทำไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นคอร์สออนไลน์หรืออื่นๆ ก็ตาม

การออกแบบ Business Model Canvas

ในการทำแผนธุรกิจ เรามาเริ่มกันที่การสร้าง Business Model Canvas (BMC) หรือ Lean Canvas กันก่อน การสร้าง BMC นี้จะช่วยให้เรามองภาพรวมของธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น เป็นกระบวนการที่สำคัญมากสำหรับคำถามที่ว่า ทำอย่างไร? ให้เป็นที่ปรึกษาเงินล้าน จะมีช่องที่สำคัญๆ ได้แก่

ปัญหา (Problems): ปัญหาที่ลูกค้าของเราพบเจอ

ลูกค้าเป้าหมาย (Customer Segments): ใครคือลูกค้าของเรา

คุณค่าที่ส่งมอบ (Unique Value Proposition): สิ่งที่เรามอบให้ลูกค้าคืออะไร

ช่องทางการขาย (Channels): เราจะเข้าถึงลูกค้าอย่างไร

โซลูชัน (Solutions): วิธีแก้ปัญหาที่เรามี

ต้นทุน (Cost Structure): ค่าใช้จ่ายหลักของเรา

รายได้ (Revenue Streams): รายได้ของเรามาจากไหน

ดัชนีชี้วัดความสำเร็จ (Key Metrics): ตัวชี้วัดความสำเร็จของเรา

ข้อได้เปรียบที่ไม่ยั่งยืน (Unfair Advantage): สิ่งที่ทำให้เรามีข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่ง

เราจะใช้ Lean Canvas เพื่อให้เน้นส่วนที่เสี่ยงที่สุดในองค์กรนั่นคือเรื่องของปัญหาและลูกค้า นอกจากนี้ยังต้องมีการวัดผลและเรียนรู้อยู่เสมอด้วย

ในยุคปัจจุบัน AI สามารถช่วยเขียน ออกแบบสารบัญ แผนงานการสอน และช่วยวิเคราะห์การตลาดได้อย่างน่าทึ่ง แถมสร้างผลลัพธ์ได้เร็วอีกด้วย
อาจารย์เอสหวังว่านักเรียนจะนำ AI ไปเป็นผู้ช่วยคนสำคัญในงานสำหรับผู้เชี่ยวชาญได้

สนใจสมัครหลักสูตร เปลี่ยนอาจารย์ นักวิชาการ นักวินิจฉัย วิทยากร ที่ปรึกษาธรรมดาๆ เป็นที่ปรึกษาเงินล้าน
ทักในช่องความคิดเห็นหรือในอินบ็อกซ์ทันทีตอนนี้บอกรุ่นที่ท่านต้องการ

อีกช่องทางสำหรับการสั่งซื้อ @Line (@7d.hub) หรือสแกน QR code นี้ได้เลยค่ะ

Scroll to Top