เปลี่ยนมาใช้ AI ก่อน หรือรอถูกบังคับให้เปลี่ยน

เปลี่ยนมาใช้ AI ก่อน หรือรอถูกบังคับให้เปลี่ยน

เปลี่ยนมาใช้ AI ก่อน หรือรอถูกบังคับให้เปลี่ยน

AI เปรียบเสมือนไฟฟ้าในยุคปัจจุบัน คือตัวช่วยในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะในงานวิจัย แทนที่จะถามว่า “AI ทำอะไรได้บ้าง” ควรถามว่า “มีอะไรที่ AI ทำไม่ได้บ้าง?” มากกว่า แค่มีพื้นฐานด้าน AI ก็ทำให้คุณได้เปรียบ เพราะมีตัวช่วยในการทำงานที่ดี แต่การรู้จักผู้ช่วยให้มากขึ้น เพื่อการใช้ที่ดีขึ้น เราจะมีข้อได้เปรียบสูงขึ้นแน่นอน

การใช้ AI ในประเทศไทย ปี 2024

ประเทศไทยมีการใช้ AI อยู่ในอันดับที่ 58 ของโลก แม้ว่าประเทศอื่นๆ จะก้าวไปข้างหน้าแล้ว แต่ประเทศไทยยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น

ถึงแม้ว่าการใช้งานในประเทศเรากำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถแข่งขันได้ในทุกด้าน ไมเคิล พอร์เตอร์ เคยกล่าวไว้ว่า “หากเราไม่มีความสามารถในการแข่งขัน ไม่ควรลงมือทำเลย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือองค์กรในระดับใด รวมถึงบุคคลทั่วไป หากไม่มีข้อได้เปรียบในการแข่งขัน การทำไปก็แค่เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น”

สิ่งสำคัญคือการมีปัจจัยที่ช่วยให้เราได้เปรียบ ซึ่งในปัจจุบัน AI ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เราแข่งขันได้ เพราะฉะนั้นจงจำนี้ไว้ว่า “เปลี่ยนมาใช้ AI ก่อน หรือรอถูกบังคับให้เปลี่ยน” หากรอช้าเราอาจล้าหลังได้

ข้อได้เปรียบในการใช้งาน AI

AI คือโอกาสที่สำคัญ หากเรานำมาใช้ได้ถูกต้อง เราจะมีข้อได้เปรียบที่สำคัญในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น การวิจัยที่ประเทศไทยกำลังเริ่มใช้ AI มากขึ้น และเมื่อ AI ได้รับการยอมรับและใช้งานอย่างแพร่หลาย ประเทศเราจะสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่

เพราะในชีวิตจริง เราไม่ได้ทำงานคนเดียว เราแข่งขันกับคนทั้งโลก หากเราไม่ใช้ AI แต่คู่แข่งเราใช้ เราจะสู้ไม่ได้แน่นอน

อนาคตอีก 3 ปีข้างหน้า ทุกคนจะเริ่มใช้ AI อย่างแพร่หลาย และจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา แต่เชื่อเถอะว่า AI อาจเป็นนวัตกรรมสุดท้ายที่มนุษย์สร้างขึ้น และหลังจากนั้น AI อาจเป็นผู้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ แทนเรา

ใช้ AI บนความรับผิดชอบและมีจริยธรรม

เราควรเริ่มต้นด้วยการใช้ในลักษณะที่มีจริยธรรม เพราะเราจะต้องเผชิญกับคำวิจารณ์และความคิดเห็นมากมาย นโยบายเกี่ยวกับการใช้ AI อาจยังไม่ได้ถูกออกมาอย่างชัดเจน แต่เราสามารถวิเคราะห์และปรับตัวได้เอง

ในประเทศไทยเอง การนำ AI มาใช้ในงานวิจัย ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น อาจารย์และนักวิจัยยังคงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับวิธีการใช้งาน AI อย่างถูกต้อง และวิธีที่จะทำให้งานวิจัยของเรายังคงมีคุณภาพ โดยทั่วไปแล้ว ควรจะมีนโยบายหรือแนวทางที่ชัดเจนในการใช้งาน AI ที่ทุกคนสามารถปฏิบัติตามได้

วิธีการแก้ไขของอาจารย์ปุดก็คือ อาจจะใช้การอ้างอิงไว้ในบทความว่า “บทความนี้มีการใช้ AI ช่วยเหลือในกระบวนการเขียน..”

แม้ว่า AI จะถูกนำมาใช้ในงานวิจัย แต่มันไม่ได้ลดคุณค่าของงานวิจัยที่เราทำ การใช้งาน AI อาจช่วยเพิ่มความแหลมคมและความละเอียดในงานวิจัย ทำให้งานของเรามีคุณภาพที่สูงขึ้นได้ แต่การเคารพกฎเกณฑ์และระเบียบวิธีในการทำงานวิจัยยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่นักทำวิจัยควรปฏิบัติตาม เพื่อให้มั่นใจว่างานของเรามีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ

ประเภทของการใช้งาน AI

กลุ่มที่ 1 คือ AI ด้านความคิดสร้างสรรค์

สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ตามที่เราสั่ง แม้ว่ามนุษย์เราเองก็มีความคิดสร้างสรรค์เช่นกัน แต่ในบางครั้ง AI อาจสร้างสรรค์ผลงานได้รวดเร็วกว่าหรือมากกว่าเรา สำหรับด้านนี้อาจารย์ปุดแนะนำว่า ให้ใช้ในการช่วยเขียนเท่านั้น อย่าไปขอการอ้างอิงเด็ดขาด

กลุ่มที่ 2 คือ AI ด้านวิชาการ

สามารถค้นหางานวิจัย ทำการหาอ้างอิงหนังสือด้านวิชาการจากทั่วโลก สำหรับด้านนี้อาจารย์ปุดแนะนำว่า เป็น AI ที่มีการอ้างอิงดี มีหนังสือจริง แต่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์

AI ผู้ให้คำตอบใหม่ๆ แก่คุณ

ในการใช้งาน AI เพื่อสร้างคำตอบหรือเนื้อหา เราอาจสังเกตเห็นว่าการใช้คำสั่งเดียวกันในแต่ละครั้ง อาจได้คำตอบที่แตกต่างกันเล็กน้อย นี่เป็นเพราะ AI ถูกออกแบบมาให้มีความสามารถในการสร้างสรรค์และคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ตามบริบทและข้อมูลที่ได้รับ ดังนั้น แม้ว่าเราจะใช้คำสั่งเดียวกันหลายครั้ง แต่ AI ก็อาจจะให้คำตอบที่ไม่เหมือนกันทุกครั้ง เนื่องจาก AI พยายามปรับปรุงและหาวิธีการนำเสนอที่ดีที่สุดในแต่ละครั้งนั่นเอง

กลุ่มเป้าหมายของผู้ทำงานวิจัย

เปลี่ยนมาใช้ AI ก่อน หรือรอถูกบังคับให้เปลี่ยน

การทำวิจัยมีความสำคัญอย่างยิ่งในหลากหลายสาขา ทั้งในด้านวิชาการและการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ผู้ทำวิจัยจึงจำเป็นต้องพิจารณากลุ่มเป้าหมายหลักในการนำเสนอผลงานวิจัย เพื่อให้เนื้อหาและผลการวิจัยมีประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ที่ต้องการใช้งาน โดยหลักๆ มีดังนี้

1. กลุ่มวิชาการและคนทั่วไป

กลุ่มนี้ประกอบไปด้วยนักวิจัย นักศึกษา ครูอาจารย์ และบุคคลทั่วไปที่สนใจในเนื้อหาทางวิชาการหรือหัวข้อวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยกลุ่มนี้มีความต้องการในการเข้าถึงข้อมูลที่ชัดเจน เข้าใจง่าย และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้

2. ผู้ทรงคุณวุฒิ

กลุ่มนี้ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่างๆ ผู้มีประสบการณ์สูง หรือบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในระดับลึก ซึ่งมักเป็นที่ยอมรับในวงการนั้นๆ ถือเป็นบุคคลสำคัญเพราะเป็นผู้ประเมินงานวิจัยของเรา

ความแตกต่างของ Role VS Act as ในการใส่คำสั่ง Prompt

เปลี่ยนมาใช้ AI ก่อน หรือรอถูกบังคับให้เปลี่ยน

1. Role

หมายถึงบทบาทหรือหน้าที่ของบุคคลหนึ่ง ทำหน้าที่ในสถานการณ์หรือบริบทใดบริบทหนึ่ง บทบาทนี้อาจกำหนดโดยสังคม หน่วยงาน องค์กร หรือกลุ่มบุคคล และมักจะมีความชัดเจนและคาดหวังว่าบุคคลนั้นจะทำตามบทบาทนี้ในระยะยาวหรือตลอดเวลา

คำว่า “Role” ใช้เมื่อพูดถึงบทบาทที่เป็นทางการและมีความเฉพาะเจาะจง เช่น บทบาทของพนักงานในองค์กร บทบาทของครูในโรงเรียน หรือบทบาทของผู้ปกครองในครอบครัว

2. Act as

หมายถึงการทำหน้าที่หรือการปฏิบัติตนเสมือนเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งในสถานการณ์ที่กำหนดไว้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นบทบาทที่ถูกกำหนดอย่างเป็นทางการหรือทำหน้าที่ในระยะยาว

คำว่า “Act as” มักใช้ในสถานการณ์ที่บุคคลหนึ่งทำหน้าที่เฉพาะกิจหรือชั่วคราว โดยอาจไม่ได้มีการกำหนดให้เป็นบทบาทหลัก เช่น การสวมบทบาทเป็นผู้จัดการในกรณีที่ผู้จัดการตัวจริงไม่อยู่ หรือการทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในสถานการณ์ที่จำเป็น

ภาษาไม่ใช่ปัญหาสำหรับ AI

ในเรื่องของภาษานั้น ไม่ได้เป็นอุปสรรคใหญ่อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเริ่มต้นจากการเขียนบทความเป็นภาษาอังกฤษตั้งแต่ต้น คุณภาพของข้อมูลและการเขียนก็อาจไม่ต่างกันมากเมื่อเทียบกับบทความภาษาไทย ปัจจุบันเครื่องมือที่ใช้ช่วยในการเขียน เช่น Chat GPT ก็มีการพัฒนาขึ้นมาก สามารถเขียนภาษาได้ดีขึ้นอย่างน่าประทับใจ เช่น การเขียนหนังสือราชการที่สวยงามและถูกต้องตามหลักภาษามากขึ้น

สุดท้ายนี้ อาจารย์ปุดได้เน้นว่า
“การเรียนรู้เรื่อง AI เป็นสิ่งที่ไม่ยากอย่างที่หลายคนคิด แม้ว่าคุณอาจจะรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งในเรื่องเทคโนโลยี แต่ถ้าตั้งใจเรียนรู้ คุณก็จะพบว่ามันเป็นเรื่องสนุกและเข้าใจได้ง่าย”

สนใจสมัครหลักสูตร AI FOR RESEARCH WORKSHOP
ทักในช่องความคิดเห็นหรือในอินบ็อกซ์ทันทีตอนนี้บอกรุ่นที่ท่านต้องการ

อีกช่องทางสำหรับการสั่งซื้อ @Line (@7d.hub) หรือสแกน QR code นี้ได้เลยค่ะ

Scroll to Top