
เจรจาดี มีสิทธิ์รอด เทคนิคเจรจากับเจ้าหนี้อย่างไรให้ได้ผล ลดหนี้ ลดดอก ไม่เสียเครดิต
หนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขในสมุดบัญชี แต่มันคือภาระที่เราต้องแบกทุกวัน
“หนี้” ไม่ได้เริ่มต้นจากความล้มเหลวเสมอไป บางทีมันเกิดขึ้นจากความหวังเล็ก ๆ ที่อยากให้ครอบครัวมีบ้านอยู่… บางครั้งมันมาจากวันที่เราป่วย แล้วต้องตัดสินใจรักษาตัวเองให้รอด… และบางที มันก็เป็นผลลัพธ์จากการ “เอาตัวรอด” ในโลกที่รายได้ไม่เคยวิ่งทันค่าครองชีพ
เริ่มจากการใช้บัตรเครดิตแค่ไม่กี่พันบาท จากนั้นกลายเป็นยอดคงค้างที่พอกพูนเพราะดอกเบี้ยสูงลิ่ว บางคนไม่ได้ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย แต่เจอสถานการณ์ไม่คาดคิด เช่น การตกงาน ปัญหาสุขภาพ หรือธุรกิจสะดุด และเมื่อรายรับไม่พอรายจ่าย หนี้ก็กลายเป็นทางออกเดียวที่เหลืออยู่
แต่เมื่อหนี้เริ่มก่อตัว มันไม่ได้มาแค่ในรูปของยอดเงินค้างชำระ แต่มันมาพร้อมกับความกลัว ความกดดัน และความอับอาย
…บางคนเริ่มหลีกเลี่ยงการรับโทรศัพท์
…บางคนเลือกไม่เปิดดูใบแจ้งหนี้
…บางคนคิดว่า “ขอแค่พรุ่งนี้ยังรอดไปได้ก็พอ”
จนแรงกดดันเริ่มสะสมจนกลายเป็นภาระทางใจ

การเจรจากับเจ้าหนี้ไม่ใช่สัญญาณของความล้มเหลว
หลายคนอยากเริ่มแก้หนี้… แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง และสิ่งที่พบบ่อยคือชำระหนี้ไม่ไหว หาเงินไม่ทัน แต่ลังเลที่จะ “คุยกับเจ้าหนี้” เพราะในความคิดของหลายคน เจ้าหนี้คือฝ่ายตรงข้าม คือคนที่โทรมาเร่งรัด เป็นเสียงเตือนที่กดดัน
แต่ความจริงแล้ว การเจรจากับเจ้าหนี้ไม่ใช่การยอมแพ้ มันคือ “การยืนขึ้นอีกครั้ง” คือการกล้าที่จะสื่อสารอย่างมีวุฒิภาวะ และแสดงให้เห็นว่าเรายังมีความรับผิดชอบ แม้จะยังไม่มีเงินก้อนใหญ่ในมือก็ตาม
ทำไมต้องเจรจากับเจ้าหนี้
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า เมื่อเราเป็นหนี้ เราไม่มีสิทธิ์ต่อรองใด ๆ กับเจ้าหนี้ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าเราเสมอ แต่ในความเป็นจริง เจ้าหนี้จำนวนไม่น้อย “พร้อมจะฟัง” ถ้าคุณ “พร้อมจะพูด” โดยเฉพาะถ้าสิ่งที่คุณพูดนั้นมาพร้อมกับแผนการที่เป็นรูปธรรม และเจตนาที่จะชำระหนี้จริง
เหตุผลสำคัญคือ เจ้าหนี้เองก็มีต้นทุนในการตามหนี้ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตาม การส่งจดหมายทวงถาม หรือแม้กระทั่งค่าใช้จ่ายทางกฎหมายหากต้องดำเนินคดี พวกเขาจึงยินดีที่จะเจรจา หากเห็นว่าลูกหนี้ยังมีความตั้งใจ และมีโอกาสที่จะจ่ายคืน แม้อาจจะไม่ใช่ในรูปแบบเดิมที่ตกลงไว้ตอนแรก
จำไว้ว่า… เจ้าหนี้ส่วนใหญ่ อยากได้เงินคืน มากกว่าที่จะต้องฟ้องคุณให้เสียเวลา

เจรจากับเจ้าหนี้ยังไงให้ได้ผล
1. เจรจาอย่างมืออาชีพ ไม่ใช่แค่ “ขอความเมตตา” แต่คือ “เสนอแผนที่เจ้าหนี้อยากได้ยิน”
2. ทุกคำพูดของคุณ ต้องสร้างภาพว่า “คุณคือคนที่ยังมีความรับผิดชอบ”
3. เปลี่ยนคำพูดจาก “ช่วยผมหน่อยนะ” → เป็น “เรามาช่วยกันหาทางออก”
4. มีความมั่นใจ มีการวางแผน และมีความสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เจ้าหนี้เปิดใจฟังคุณเสมอ
ข้อควรระวังในการเจรจา
- อย่าให้ข้อมูลเท็จ เช่น รายได้เกินจริง
- อย่าพูดด้วยอารมณ์หรือขู่ เช่น “ถ้าไม่ลด ผมจะไม่จ่าย”
- อย่าหายตัวหลังเจรจา ต้องติดตามผลเสมอ และมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร

4 กลยุทธ์ที่คุณสามารถเจรจากับเจ้าหนี้ได้อย่างมืออาชีพ
การเจรจากับเจ้าหนี้ ไม่ได้หมายถึงการขอร้อง หรืออ้อนวอน แต่คือการเสนอแผนที่เป็นไปได้จริง เพื่อหาข้อตกลงที่เจ้าหนี้พอใจ และคุณสามารถทำได้จริง ต่อไปนี้คือ 4 ทางเลือกที่คนเป็นหนี้ควรรู้ก่อนเริ่มพูดคุยกับเจ้าหนี้
1. ขอลดดอกเบี้ย
ลดภาระผ่อนต่อเดือน ช่วยให้เงินต้นลดลงได้จริง
หนี้บางประเภท เช่น บัตรเครดิต หรือสินเชื่อเงินสด มักมีดอกเบี้ยสูงมาก โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 18–28% ต่อปี ซึ่งในทางปฏิบัติหมายความว่า แม้คุณจะจ่ายต่อเนื่องทุกเดือน หนี้ก็อาจแทบไม่ลดลงเลย
การเจรจาขอลดดอกเบี้ย คือ การเจรจากับเจ้าหนี้ ขอให้ปรับลด “อัตราดอกเบี้ยต่อปี” ลงจากเดิม เพื่อให้ภาระการจ่ายรายเดือนลดลง และเงินที่คุณจ่าย เริ่มไปหักเงินต้นมากขึ้น แทนที่จะหมดไปกับดอกเบี้ยอย่างเดียว
เหมาะสำหรับ ผู้ที่ยังมีรายได้และตั้งใจชำระหนี้ต่อ แต่เริ่มรู้สึกว่าเงินที่จ่ายไปไม่คุ้ม เพราะยอดหนี้แทบไม่ลดลง หรือสำหรับคนที่เริ่มรับภาระไม่ไหวจากดอกเบี้ยที่สูงเกินไป รวมถึงผู้ที่เคยมีประวัติดีแต่เจอปัญหาชั่วคราว และต้องการขอลดดอกเบี้ยเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือไว้ในระบบ
ประโยชน์ของการขอลดดอกเบี้ย
- ยอดผ่อนรายเดือนเบาลง
- เงินผ่อนไปหักเงินต้นมากขึ้น
- ชำระหนี้หมดได้เร็วขึ้น
- มีโอกาสกลับมาเป็นลูกหนี้ดีในระบบ
ตัวอย่าง
คุณรัชต์ มีหนี้บัตรเครดิต 120,000 บาท ดอกเบี้ย 25% ต่อปี จ่ายขั้นต่ำเดือนละ 5,000 บาทมา 6 เดือน แต่ยอดหนี้ลดลงเพียง 3,000 บาทเท่านั้น เพราะดอกเบี้ยกินไปกว่า 70% ของเงินผ่อนในแต่ละเดือน
เขาติดต่อเจ้าหนี้ แจ้งว่าพร้อมจ่ายต่อเนื่อง แต่ขอลดดอกเบี้ยลงเหลือ 12% โดยแนบสลิปเงินเดือน รายรับ และแผนผ่อนชัดเจน
ผลลัพธ์ คือ ธนาคารยินดีลดดอกเบี้ยเหลือ 13% เป็นเวลา 12 เดือนแรก พร้อมปรับยอดผ่อนให้เหมาะสม หนี้จึงเริ่มลดลงจริง และไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเกินความจำเป็นอีกต่อไป
การขอลดดอกเบี้ยไม่ใช่การเอาเปรียบเจ้าหนี้ แต่มันคือการ “พูดคุยอย่างมีเหตุผล” ว่าดอกเบี้ยที่สูงเกินไป อาจทำให้ลูกหนี้จ่ายต่อไม่ได้ และสุดท้ายเจ้าหนี้เองก็ไม่ได้รับเงินคืนเต็มจำนวน “บางครั้ง… เจ้าหนี้ไม่ได้ต้องการให้คุณจ่ายมาก แค่จ่ายได้จริง และไม่หยุดกลางทาง”
2. ขอปรับโครงสร้างหนี้
การปรับโครงสร้างหนี้ หมายถึงการเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเดิมของการชำระหนี้ ให้สอดคล้องกับสภาพทางการเงินของคุณในปัจจุบัน โดยอาจมีการปรับลดค่างวดต่อเดือน ยืดระยะเวลาผ่อน หรือรวมหลายหนี้เป็นหนี้เดียว เพื่อให้คุณสามารถจ่ายไหวจริง ไม่ผิดนัด และไม่หลุดระบบ
รูปแบบการปรับโครงสร้างหนี้ อาจเป็นการลดค่างวดต่อเดือน เช่น จากที่เคยผ่อน 8,000 บาท/เดือน เหลือ 4,500 บาท โดยยืดระยะเวลาผ่อนจาก 3 ปีเป็น 5 ปี หรือรวมหลายหนี้เป็นหนี้เดียว เช่น หนี้บัตร 3 ใบรวมกันเป็นยอดเดียว แล้วผ่อนกับเจ้าหนี้รายเดียวที่เสนอเงื่อนไขดีที่สุด
ข้อดีของการปรับโครงสร้างหนี้
- หนี้ “เดินช้าลง” เพื่อให้คุณยัง “เดินไหว”
- ป้องกันไม่ให้กลายเป็นหนี้เสียในเครดิตบูโร
- คืนความมั่นใจให้คุณกลับมาควบคุมแผนการเงินได้อีกครั้ง
สิ่งที่ควรระวัง คือ
1. หากไม่จ่ายตามแผนใหม่ อาจเสียเครดิตยิ่งกว่าเดิม
2. บางธนาคารอนุมัติปรับโครงสร้างหนี้เพียงครั้งเดียว ต้องวางแผนให้แน่นอนก่อนขอ
3. อาจถูกบันทึกเป็น “ลูกหนี้ปรับโครงสร้าง” ในเครดิตบูโร (แต่ดีกว่าหนี้เสีย)
ตัวอย่าง
คุณพลอย มีหนี้บัตรเครดิตรวม 150,000 บาทจาก 3 ธนาคาร ต้องจ่ายขั้นต่ำรวมกันเดือนละ 9,000 บาท ขณะที่รายได้เหลือใช้จริง ๆ หลังหักค่าครองชีพมีเพียง 5,000 บาท
เธอตัดสินใจติดต่อธนาคาร เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ โดยยื่นเอกสารรายได้ และเสนอผ่อนเดือนละ 4,500 บาท เป็นเวลา 4 ปี พร้อมขอลดดอกเบี้ย
ผลคือ ธนาคารยอมปรับเงื่อนไขให้ กลายเป็นยอดผ่อนเดียวต่อเดือน และให้ดอกเบี้ยพิเศษ 12% จากเดิม 25% (หนี้ยังอยู่ แต่จัดการได้ และไม่ต้องกลัวถูกฟ้อง)

3. ขอพักชำระหนี้ชั่วคราว (Deferment)
หยุดพักเพื่อหายใจ ตั้งหลัก แล้วเดินหน้าต่อ
หลายครั้งการเป็นหนี้ไม่ใช่เพราะเราบริหารเงินผิดพลาด แต่เพราะชีวิตเจอเหตุไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน เจ็บป่วย เสียคนในครอบครัว หรือธุรกิจสะดุดกระทันหัน ในช่วงเวลาแบบนี้ ต่อให้คุณมีความตั้งใจจะจ่ายหนี้มากแค่ไหน ก็อาจไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก “ขอเวลา”
นี่คือเหตุผลที่การ “ขอพักชำระหนี้ชั่วคราว” (Deferment) จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คนเป็นหนี้ได้ตั้งหลัก โดยไม่ต้องผิดนัดชำระ และไม่เสียเครดิตทันที
การขอพักชำระหนี้ชั่วคราว คือ การเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อ ขอเลื่อนการชำระหนี้ออกไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง โดยที่คุณ ไม่ต้องจ่ายเงินต้นหรือดอกเบี้ยบางส่วน ในช่วงเวลานั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละธนาคารหรือบริษัทสินเชื่อ
วัตถุประสงค์ คือ เพื่อให้คุณมีเวลาฟื้นฟูรายได้ ปรับแผนการเงิน หางานใหม่ หรือรักษาตัวให้หายจากภาวะฉุกเฉิน โดยหลังจากหมดช่วงพัก คุณจะต้อง “กลับมาชำระต่อ” ตามแผนใหม่ที่กำหนดร่วมกัน
ประโยชน์ของการขอพักชำระหนี้
- ช่วยลดแรงกดดันระยะสั้น
- รักษาเครดิตบูโรไว้ได้
- ให้เวลาวางแผนใหม่โดยไม่ผิดสัญญา
- ป้องกันการถูกฟ้องร้องในช่วงที่ไม่มีรายได้
ตัวอย่าง
คุณเอก ทำงานบริษัทด้านท่องเที่ยว ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาด รายได้ลดลงทันที 70% แต่ยังมีหนี้ผ่อนรถ และหนี้บัตรเครดิตรวม 100,000 บาท
เขาเลือกติดต่อธนาคารเจ้าหนี้ทันที พร้อมแจ้งสถานการณ์ และแนบหนังสือรับรองรายได้ลด ผลคือธนาคารยอม พักชำระเงินต้น 3 เดือน โดยให้จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยเล็กน้อย และยืดระยะเวลาผ่อนออกไปอีก 6 เดือนหลังจากนั้น
ทำให้เขาไม่ผิดนัด ไม่เสียประวัติเครดิต และมีเวลาตั้งหลักหางานเสริมให้รายได้กลับมา
4. ขอปิดบัญชีด้วยเงินก้อน (Settlement Offer)
จ่ายครั้งเดียว จบหนี้ โดยเจ้าหนี้ลดบางส่วนให้
สำหรับคนที่แบกหนี้มานาน ผ่อนมาเรื่อย ๆ แต่ยอดไม่เคยลด หรือคนที่กำลังจะโดนฟ้อง ถูกเร่งรัดจากเจ้าหนี้ หนึ่งในทางออกที่น่าสนใจและมีโอกาส “จบหนี้ได้จริง” ก็คือ การเจรจาขอปิดบัญชีด้วยเงินก้อน หรือที่เรียกว่า Settlement Offer
ฟังชื่อแล้วอาจดูเหมือนเป็นเทคนิคเฉพาะสำหรับนักเจรจาหรือคนที่มีอำนาจต่อรองสูง แต่ในความเป็นจริง… ลูกหนี้ทั่วไปก็สามารถใช้วิธีนี้ได้ ถ้ามี เงินก้อนในมือ และวางแผนพูดคุยอย่างมีกลยุทธ์
การขอปิดบัญชีด้วยเงินก้อน (Settlement Offer) คือ การที่คุณเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อเสนอ “จ่ายเงินก้อนจำนวนหนึ่ง” ให้จบหนี้ทั้งหมด โดยขอให้เจ้าหนี้ “ลดหนี้บางส่วน” ที่เหลือให้ และทำสัญญายุติข้อผูกพันกันอย่างเป็นทางการ
ง่าย ๆ คือ คุณจ่ายจบ → เจ้าหนี้ยอมลดหนี้ → ทั้งสองฝ่ายไม่มีภาระต่อกันอีก
เหมาะกับใคร?
1. คนที่มีเงินก้อนบางส่วน จากการขายของ รับมรดก เงินโบนัส หรือได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัว
2. คนที่ไม่สามารถผ่อนต่อได้อีก แต่ต้องการปิดหนี้แบบมีเกียรติ
3. คนที่เจรจากับเจ้าหนี้มาหลายทางแล้ว แต่ยังไม่มีข้อตกลงที่ยั่งยืน
4. คนที่ต้องการหลุดจากระบบหนี้เสีย เพื่อเริ่มต้นใหม่
ข้อดีของการปิดบัญชีด้วยเงินก้อน
- ลดภาระหนี้ได้ “มากกว่าที่คิด” หากต่อรองดี
- จบปัญหาเร็ว ไม่ต้องผ่อนยาว
- ไม่ต้องเสียค่าปรับหรือดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคต
ข้อควรระวัง คือ อย่าโอนเงินล่วงหน้าโดยไม่มีข้อตกลงเป็น “ลายลักษณ์อักษร” เพราะเจ้าหนี้บางรายอาจพูดปากเปล่าว่าจะลด แต่กลับไม่ลดจริงหลังได้รับเงินแล้ว
ตัวอย่าง
คุณวินัย มีหนี้บัตรเครดิตรวม 180,000 บาท ถูกเร่งรัดจากสำนักงานทวงถามหนี้ เขามีเงินก้อนอยู่ 100,000 บาท จากการขายรถเก่า และไม่สามารถผ่อนรายเดือนอีกต่อไป
เขาตัดสินใจติดต่อเจ้าหนี้โดยตรง เสนอว่า “หากธนาคารยอมปิดบัญชีด้วยเงิน 100,000 บาททันที ผมพร้อมโอนจบภายใน 3 วัน ขอเอกสารยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยครับ”
ผลลัพธ์ คือ เจ้าหนี้ยอมลดหนี้จาก 180,000 บาท เหลือ 110,000 บาท และเขาสามารถต่อรองอีกเล็กน้อยให้ปิดจบที่ 100,000 บาท พร้อมเอกสาร “ปิดบัญชีสมบูรณ์”
การเจรจาขอปิดบัญชีด้วยเงินก้อน คือโอกาสสำคัญในการ “จบปัญหา” ที่คาราคาซังมานาน คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายครบทุกบาท หากสามารถแสดงเจตนาและข้อเสนอที่เป็นธรรม เพราะในบางสถานการณ์ เจ้าหนี้เองก็อยากปิดบัญชีให้ไว และลดภาระของเขาเช่นกัน

พูดคุยอย่างมีศักดิ์ศรี เพื่อปลดหนี้อย่างมีทางออก
การเจรจากับเจ้าหนี้อาจดูเป็นเรื่องที่น่ากลัวในความรู้สึกของใครหลายคน แต่ในความเป็นจริง มันคือ “ทักษะชีวิต” ที่คนเป็นหนี้ทุกคนควรเรียนรู้และลงมือทำอย่างมีระบบ เพราะหนี้จะไม่หายไปเพียงแค่เราหลบสายโทรศัพท์ หรือหวังว่าสักวันมันจะคลี่คลายด้วยตัวเอง ตรงกันข้าม การนิ่งเฉยมีแต่จะทำให้ปัญหาหนักขึ้น ขณะที่การกล้าคุยกับเจ้าหนี้อย่างมีข้อมูล มีเหตุผล และมีแผนรองรับ กลับเป็นการแสดงความรับผิดชอบ และเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เดินต่ออย่างมั่นคงขึ้นในระยะยาว
หนี้ที่ดูเป็นภูเขาอาจไม่ต้องใช้ทั้งชีวิตในการปีนขึ้นไป หากคุณรู้ว่ามีทางลัดบางทางที่เรียกว่า “การเจรจา” ซึ่งไม่ใช่การขอความสงสาร แต่คือการพูดคุยระหว่างสองฝ่ายที่ต้องการทางออกร่วมกัน หากคุณกล้าเริ่มต้นอย่างจริงใจ วันนี้อาจเป็นจุดเริ่มของวันที่คุณ “เริ่มชนะหนี้” ไม่ใช่ด้วยจำนวนเงินในบัญชี แต่ด้วยท่าทีที่แข็งแรงจากภายใน
….
เป็นหนี้ สู้ถูกทาง ชนะแน่
หยุดวงจรหนี้สินเรื้อรัง ภายใน 90 วัน

แผนปฏิบัติการเปลี่ยนชีวิต ปลดหนี้ใน 90 วัน
ยุติหนี้เรื้อรังด้วยแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน หนังสือที่รวบรวมความรู้และแนวทางการจัดการหนี้แบบครบวงจร เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการก้าวข้ามความท้าทายทางการเงิน ด้วยเนื้อหาที่ครอบคลุมตั้งแต่การทำความเข้าใจหนี้ การตั้งเป้าหมายทางการเงิน การสร้างงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการลดหนี้ด้วยเทคนิคที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง เพื่อให้คุณสามารถสร้างชีวิตที่มั่นคงทางการเงินได้อย่างยั่งยืน
เมื่อซื้อหนังสือเล่มนี้ รับฟรีหลักสูตรออนไลน์จากครูพี่ม้อค 3 หลักสูตร มูลค่ารวมกว่า 4,990 บาท
- หลักสูตรที่ 1 : แผนปฏิบัติการ 90 วัน ชนะหนี้
- หลักสูตรที่ 2 : สร้างรายได้ด้วยทุน 0 บาทจากออนไลน์
- หลักสูตรที่ 3 : ปั้นธุรกิจให้กลับมารวยด้วยการตลาดออนไลน์เเบบเร่งด่วน
อย่าปล่อยให้ “หนี้” กัดกินชีวิตของคุณและคนในครอบครัว วางแผนการเงินใหม่ ให้มีเก็บ มีใช้ ไม่ต้องกังวลทุกสิ้นเดือน
• ติดตามข่าวสารที่ช่องทางอื่น ๆ : 7D Book & Co.