
แนวคิดที่ Elon Musk, Oprah และคนสำเร็จทั่วโลก…ใช้เหมือนกันเป๊ะ
หากคุณศึกษาชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จระดับโลก ไม่ว่าจะอยู่ซีกโลกไหน หรืออยู่ในวงการใดก็ตาม คุณจะเริ่มสังเกตเห็นบางสิ่งที่คล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ
พวกเขาอาจจะมีพื้นเพต่างกัน มีการศึกษาไม่เท่ากัน พูดคนละภาษา หรือโตมากับโอกาสที่ไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่เหมือนกันเกือบทุกคนคือ “พวกเขาใช้สมองคนละแบบกับคนทั่วไป”
คำว่า “สมองคนละแบบ” ไม่ได้หมายถึงพันธุกรรมหรือระดับ IQ แต่หมายถึง “วิธีคิด” ที่ฝึกได้ เปลี่ยนได้ และสร้างขึ้นใหม่ได้ด้วยตัวเอง สิ่งที่คนสำเร็จมีเหมือนกัน คือพวกเขาเข้าใจว่า “โลกภายนอก” เป็นผลสะท้อนของ “โลกภายใน” หรือพูดอีกแบบคือ สิ่งที่เราเห็นในชีวิตจริง ล้วนเป็นผลผลิตจากความคิด ความเชื่อ และวิธีมองโลกที่เราสร้างขึ้นในหัวของเราเอง

Elon Musk
Elon Musk เคยพูดว่า เขาไม่เชื่อว่าความฝันต้องมีพื้นฐานอยู่บนความเป็นไปได้ เขาเชื่อว่าหน้าที่ของเขาคือทำให้สิ่งที่คนอื่นคิดว่าเป็นไปไม่ได้ กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
นี่คือแก่นของการสร้าง Tesla, SpaceX, Neuralink หรือแม้กระทั่งการพูดถึงการตั้งถิ่นฐานบนดาวอังคาร ซึ่งถ้าเป็นคนทั่วไปจะตั้งคำถามว่า “มันจะทำได้จริงเหรอ?” แต่คนอย่าง Musk กลับตั้งคำถามว่า “จะทำอย่างไรให้มันเกิดขึ้นได้จริง?” ต่างกันแค่คำถาม ชีวิตก็เดินไปคนละทางแล้ว
Oprah Winfrey
Oprah Winfrey มีจุดเริ่มต้นจากความยากลำบาก เธอเติบโตมาท่ามกลางความรุนแรง การล่วงละเมิด และการเหยียดผิวที่ฝังลึกในสังคมอเมริกัน แต่เธอกลับบอกว่า “ฉันไม่เคยมองตัวเองว่าเป็นเหยื่อ ฉันเลือกที่จะเป็นคนที่เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลัง”
เธอไม่ได้แค่พูด แต่ทำจริง และยึดถือแนวคิดนี้มาตลอดชีวิต จนกลายเป็นผู้หญิงผิวสีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการสื่อของโลก
คนสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้เริ่มต้นจากอะไรที่เหนือกว่าคนอื่นมากนัก พวกเขาแค่เริ่มจากความเชื่อบางอย่างที่ลึกและมั่นคงในตัวเอง ความเชื่อที่ว่า ทุกอย่างเริ่มต้นจากความคิด เมื่อเราคิดได้ เราก็จะพูดได้ เมื่อเราพูดได้ เราจะลงมือทำ และเมื่อเราทำได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นความจริง นี่ไม่ใช่คำปลอบใจ แต่เป็นกลไกการทำงานของสมองที่พิสูจน์ได้จริงในทางวิทยาศาสตร์

Dr. Joe Dispenza
ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา ได้ทำการศึกษาและค้นพบว่า เมื่อมนุษย์ “คิดภาพในใจ” บวกกับ “รู้สึกในแบบเดียวกัน” ซ้ำ ๆ สมองจะเริ่มสร้างเส้นใยประสาทชุดใหม่ขึ้นมา และเมื่อเราทำซ้ำบ่อยพอ สมองจะเข้าใจว่านั่นคือ “ความจริง” และจะเริ่มจัดระเบียบความคิด คำพูด การตัดสินใจ และพฤติกรรมของเราให้สอดคล้องกับความเชื่อนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน ความรัก ความสำเร็จ หรือสุขภาพ ทุกอย่างล้วนเริ่มจากจุดเล็กที่สุดในหัวของเราเองทั้งนั้น
ถ้าคุณเชื่อว่าคุณไม่มีวันสำเร็จ สมองคุณจะทำทุกอย่างเพื่อให้ “เชื่อ” แบบนั้นต่อไป มันจะกรองข้อมูลที่ตรงกับความเชื่อนั้น เช่น “คนแบบเราไม่มีทางทำธุรกิจได้” “คนบ้านนอกไม่รวยหรอก” “ฉันไม่มีบุญพอจะเจอความรักดี ๆ” แล้วคุณจะเห็นแต่หลักฐานที่ตอกย้ำความคิดนั้นทุกวัน เพราะสมองจะไม่มองเห็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความเชื่อหลักในหัวคุณ
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Reticular Activating System (RAS) หรือระบบคัดกรองข้อมูลของสมองที่เลือกสนใจเฉพาะสิ่งที่สอดคล้องกับความเชื่อหลักของเรา

แต่ถ้าคุณเปลี่ยนความเชื่อในหัวว่า “ฉันกำลังสร้างอนาคตที่ดี” “ฉันสมควรได้รับโอกาส” “ฉันมีคุณค่าและสามารถทำได้” สมองของคุณจะเริ่มมองเห็นข้อมูล โอกาส และผู้คนที่สอดคล้องกับภาพใหม่นี้ คุณจะเริ่มกล้าลงมือทำบางอย่างที่ไม่เคยกล้าทำมาก่อน คุณจะเริ่มพูดจาแบบใหม่ เขียนโพสต์แบบใหม่ เข้าหาคนใหม่ ๆ และทั้งหมดนี้เกิดจากการเปลี่ยนภาพในหัวของคุณเท่านั้น
นี่ไม่ใช่คำพูดเชิงกำลังใจจากหนังสือพัฒนาตนเองทั่วไป แต่งานวิจัยจำนวนมากในสาขาจิตวิทยาและประสาทวิทยา ต่างยืนยันว่า “พฤติกรรมมนุษย์” ถูกขับเคลื่อนด้วย “ความเชื่อที่ฝังลึก” มากกว่าความรู้หรือความสามารถในปัจจุบัน คนที่เรียนจบสูงแต่ยังไม่กล้าทำอะไรใหม่ อาจแพ้คนที่เรียนไม่จบแต่มีความเชื่อชัดเจนว่าตัวเองจะสำเร็จ และลงมือทำอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด

Tony Robbins
Tony Robbins โค้ชชื่อดังระดับโลกพูดไว้ชัดเจนว่า “The only thing that’s keeping you from getting what you want is the story you keep telling yourself.” แปลว่า สิ่งเดียวที่ขวางคุณไม่ให้ไปถึงจุดที่อยากได้ คือ “เรื่องเล่าในหัวที่คุณเล่าซ้ำกับตัวเองทุกวัน” เพราะเรื่องเล่าเหล่านั้น กลายเป็นกรอบความคิด กลายเป็นตัวตน และกลายเป็นผลลัพธ์ในชีวิต
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมคนจำนวนมากพลาดตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เพราะพวกเขารอให้ “โลกภายนอกเปลี่ยน” ก่อน จึงค่อยเปลี่ยนความคิดในหัว ทั้งที่กลไกจริงมันทำงานในทางกลับกันเสมอ โลกจะไม่ยอมเปลี่ยนเพื่อใคร จนกว่าคนคนนั้นจะเปลี่ยนมุมมอง วิธีคิด พลังภายใน และการกระทำอย่างต่อเนื่อง
ย้อนกลับมาดูในโลกธุรกิจ บริษัทที่เกิดจากภาพในหัวของผู้ก่อตั้ง และเติบโตเพราะผู้ก่อตั้งยึดมั่นกับภาพนั้น มีจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน Walt Disney เคยถูกไล่ออกจากงานเพราะหัวหน้าบอกว่าเขา “ไม่มีไอเดียสร้างสรรค์” แต่เขากลับสร้างอาณาจักรความฝันที่มีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์จากแค่การวาดการ์ตูนตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Mickey Mouse และยังเชื่อมั่นไม่เปลี่ยนว่า โลกต้องการพื้นที่ที่ทุกคนสามารถฝันได้โดยไม่มีใครตัดสิน

Howard Schultz ผู้ก่อตั้ง Starbucks
เคยเป็นเด็กที่โตมากับความจน พ่อทำงานแบกหามในโกดัง เขาเล่าว่า วันหนึ่งที่เขานั่งอยู่ในคาเฟ่เล็ก ๆ ในอิตาลี เขาเห็นว่าการดื่มกาแฟไม่ใช่แค่เรื่องกาแฟ แต่มันคือ “วัฒนธรรมการนั่งคุยกัน” คือพื้นที่ที่ผู้คนเชื่อมโยงกัน และเขาตั้งใจจะพาความรู้สึกแบบนั้นกลับมาที่อเมริกาให้ได้ แม้จะไม่มีใครเชื่อในตอนแรก แต่สุดท้าย Starbucks กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกที่เปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มกาแฟของคนทั้งโลก
เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และไม่ได้เกิดจากโชคชะตา หากแต่เกิดจากความตั้งใจ ความเชื่อที่มั่นคง และการลงมือทำอย่างไม่หยุดยั้ง
ในทางกลับกัน คนที่มีศักยภาพแต่ไม่กล้าเชื่อในตัวเอง มีอยู่มากมายมหาศาลในโลกนี้ พวกเขาเก่งแต่ไม่กล้าขายของ มีความรู้แต่ไม่กล้าโพสต์ ไม่กล้าแชร์ ไม่กล้าเริ่มต้น ไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จ และนั่นคือจุดตาย เพราะเมื่อไม่มีภาพในหัว สมองก็ไม่มีพลังขับเคลื่อน เมื่อไม่มีความเชื่อ สิ่งที่ทำก็กลายเป็นแค่กิจกรรมที่ไร้เป้าหมาย และจบลงด้วยการหมดไฟโดยไม่รู้ตัว

คำถามคือ แล้วเราจะเริ่มเปลี่ยนความคิดในหัวได้อย่างไร?
คำตอบคือ เริ่มจาก “สังเกตว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ซ้ำ ๆ ทุกวัน” เพราะสิ่งนั้นจะกลายเป็นชีวิตของเราโดยอัตโนมัติ ถ้าเราคิดแต่เรื่องลบ กังวล หวาดกลัว เปรียบเทียบ ตำหนิตัวเอง นั่นแปลว่าเรากำลังฝึกสมองให้เป็นเครื่องผลิตปัญหา แต่ถ้าเราคิดถึงความเป็นไปได้ โอกาสที่ยังมาไม่ถึง คนที่เราจะช่วยเหลือได้ ความรู้ที่เราจะสั่งสม และคุณค่าที่เราจะสร้าง นั่นคือการฝึกสมองให้เป็นเครื่องผลิตอนาคต
สิ่งที่คุณต้องรู้คือ สมองของคุณจะเชื่อสิ่งที่คุณ “พูดซ้ำ” มากกว่าสิ่งที่คุณ “รู้ว่าเป็นจริง”
ดังนั้น ถ้าคุณพูดกับตัวเองว่า “ฉันยังไม่พร้อม ฉันยังไม่เก่ง ฉันยังไม่ดีพอ” แม้มันจะไม่ใช่ความจริง แต่ถ้าคุณพูดซ้ำมากพอ สมองจะเชื่อ และมันจะหาทางทำให้คำพูดนั้นกลายเป็นจริงโดยไม่รู้ตัว ในทางกลับกัน ถ้าคุณบอกตัวเองว่า “ฉันกำลังพัฒนา ฉันกำลังเรียนรู้ ฉันกำลังไปสู่จุดที่ดีขึ้น” สมองจะเชื่อ และจะปรับตัวให้เข้ากับความเชื่อนั้นอย่างเงียบ ๆ
นี่คือเครื่องมือที่คนสำเร็จทั่วโลกใช้เหมือนกัน พวกเขาอาจมีเทคนิคต่างกัน แต่แก่นของวิธีคิดคือเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Visualization, Meditation, Affirmation หรือแม้แต่ Journaling ล้วนเป็นการเปลี่ยนภาษาภายในหัวของตัวเองให้สอดคล้องกับชีวิตที่ต้องการสร้าง

ถ้าวันนี้คุณยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ต้องการ
บางทีอาจไม่ใช่เพราะคุณไม่เก่งพอ แต่เพราะคุณยังไม่กล้าเชื่อในตัวเองมากพอ ความเชื่อคือราก ความรู้คือใบ การกระทำคือกิ่ง และผลลัพธ์คือผลไม้ ไม่มีต้นไม้ต้นไหนที่งอกงามจากใบโดยไม่มีราก ความเชื่อจึงเป็นสิ่งแรกที่ต้องปลูกให้มั่น
และเมื่อคุณเปลี่ยนความคิด…คุณจะเปลี่ยนคำพูด
เมื่อคุณเปลี่ยนคำพูด…คุณจะเปลี่ยนการกระทำ
เมื่อคุณเปลี่ยนการกระทำ…คุณจะเปลี่ยนชีวิต
ไม่ใช่ด้วยโชค แต่ด้วยวิธีคิดที่คนสำเร็จทั่วโลกใช้เหมือนกันเป๊ะ
― ดร.ธนศักดิ์ วหาวิศาล

ทำงานหนัก = รวย ?
(คิดแบบนี้ คุณอาจลำบากไปตลอดชีวิต)
คนส่วนใหญ่ใช้สมองไปกับการ “ดิ้นรน” มากกว่าการออกแบบชีวิต พวกเขาถูกฝังความเชื่อว่ายิ่งทำมาก ยิ่งได้เงินมาก ทั้งที่เศรษฐีส่วนใหญ่ “ไม่ได้ทำมากกว่า… แต่คิดต่างกว่า” เราถูกปลูกฝังให้พยายามให้มากขึ้น แทนที่จะคิดให้เฉียบคมขึ้น ถูกสอนให้ทำตามสูตรสำเร็จเดิม ๆ แทนที่จะตั้งคำถามว่า… “ทำไมต้องทำแบบนี้?”
มหาเศรษฐีหลายคนไม่ได้เริ่มจากต้นทุนสูง แต่พวกเขามองเห็นโอกาสในที่ที่คนอื่นมองไม่เห็น พวกเขาไม่ยึดติดกับการทำมากขึ้น แต่เน้นทำให้ถูกจุด… พวกเขาไม่เสียเวลาแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่สร้างระบบและทีมงานที่แข็งแกร่ง เพื่อแก้ปัญหากันอย่างมืออาชีพ
HACK สมองของตัวเองใหม่
กับหนังสือ “ศาสตร์สมองมหาเศรษฐี Hack ระบบคิดเปลี่ยนสมองธรรมดา ๆ ให้กลายเป็นสมอง “มหาเศรษฐี”
• ติดตามข่าวสารช่องทางอื่น คลิก –> Facebook