“TV Direct ขอเสนอ”
“Mistine มาแล้วค่ะ”
วลีดังกล่าวคือส่วนหนึ่งประโยคที่ผมและหลายคนต้องผ่านหูกันมาจากโฆษณาขายสินค้าทางทีวี เมื่อดูโฆษณาสาธิตการใช้สินค้าจบ เราก็พร้อมที่จะหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์ที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอและสั่งสินค้าทันที จากนั้นไม่เกิน 3 วันทำการ สินค้าที่คุณเห็นก็จะถูกส่งมาถึงบ้านของคุณ พร้อมใช้งาน
นอกจากวลีดังกล่าว โฆษณาของ TV Direct ช่วงแรกๆ ยังใช้คลิปโฆษณาจากต่างประเทศมาลงเสียงพากย์เข้าไป และด้วยสคริปต์อังกฤษที่เขียนมาว่า “Oh God! George It’s so amazing” พอแปลออกมาเป็นภาษาไทยก็มาลงตัวที่ “โอ้…พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก” ดังเป็นพลุแตกไปอีก
แม้ในปัจจุบันเราอาจจะไม่ได้ยินแล้ว เพราะมีพิธีกรคนไทยมาโฆษณาให้ไม่ต้องใช้เทปจากต้นทาง แต่การขายก็ยังไม่ทิ้งวิธีการแบบเดิมที่เป็นเอกลักษณ์นั่นคือการแกะกล่องสินค้าโฆษณา พร้อมสาธิตวิธีการใช้งานให้เห็นกันจะจะไปเลย
ส่วนวลีลำดับที่สองก็เป็นแบรนด์เครื่องสำอางโดยคนไทย เพื่อคนไทย ไม่ง้อแบรนด์นอก ใช้ดารามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ และวางขายในร้านสะดวกซื้อ ถ้าคุณคิดถึงเครื่องสำอางแล้วล่ะก็ Mistine ก็พร้อมที่จะเป็นหนึ่งตัวเลือกในใจของคุณ
อย่างไรก็ตาม หากคุณสังเกตให้ดีก็จะพบว่าคุณไม่สามารถหาสินค้าของแบรนด์ดังกล่าวได้จากห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อเลย สินค้าไม่ได้หายหรือเลิกขาย เพียงแต่มันเกิดมาจากแบรนด์เหล่านี้ไม่ได้ขายสินค้าผ่านบริษัทค้าปลีกเหมือนสินค้าอื่นๆ แต่เลือกที่จะ “ขายตรง” ถึงคุณเลย
ธุรกิจขายตรงคืออะไร
คุณเคยได้รับสายจากสถาบันการเงินโทร. มาชวนให้สมัครบัตรอะไรหรือเปล่า นี่คือหนึ่งในวิธีการขายตรงผ่านการโทร. แต่โดยหลักแล้ว ธุรกิจขายตรงคือการที่ “พนักงานขาย” หรือ “ตัวแทนขาย” ของสินค้าแบรนด์หนึ่งนำสินค้ามาเสนอขายลูกค้าโดยตรง ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง พวกเขาเลือกที่ตั้งช็อปอยู่แบบ Standalone อยู่นอกห้างเป็นหลัก ให้คุณเข้าไปหาเองเลย
แต่เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ก็อาจจะมีบ้างที่เข้ามาตั้งช็อปในห้าง หรือไปตั้งบูธตามสถานที่ต่างๆ เป็นการชั่วคราว ไม่ก็รองานแสดงสินค้า นำสินค้าไปจัดแสดงพร้อมขายเลย
อย่างไรก็ตาม การขายตรงที่ผมกล่าวถึงก็ไม่ได้มีแค่แบรนด์นำสินค้าออกมาจำหน่ายลูกค้าโดยตรงหรือต้องรอให้ถึงงานแสดงสินค้าแล้วถึงจะมีให้ซื้อ แต่ยังสามารถแบ่งประเภทออกมาได้เป็น 2 แบบด้วยกัน ได้แก่
ในอดีต เซลล์คนขายจะต้องเดินทางไปตามที่อยู่อาศัยแล้วเคาะประตูเรียกคนในบ้านให้ออกมาดู แต่ในปัจจุบันมีช่องทางการขายที่มากขึ้น คุณอาจจะถูกบริษัทประกันโทร. มาเสนอขายแพ็คเกจประกันโดยตรง ไม่ก็เดินอยู่ในห้างก็จะมีพนักงานเดินเข้ามาชวนคุณให้ลองน้ำหอม
อย่างในไทย บริษัทที่เข้ามาบุกเบิกธุรกิจขายตรงเป็นเจ้าแรกคือ Tupperware บริษัทจำหน่ายกล่องเก็บอาหารแบบสุญญากาศจากอเมริกา ซึ่งใช้วิธีการขายถึงบ้านหรือสถานที่ต่างๆ พร้อมสาธิตคุณสมบัติและวิธีใช้งานให้ลูกค้า และในเวลาต่อมา ชื่อแบรนด์ได้กลายเป็นคำติดปากที่คนไทยเรียกกล่องใส่อาหารพลาสติกว่า “กล่องทัพเพอร์แวร์” ไป
โดยในปัจจุบัน แบรนด์ขายตรงชั้นเดียวก็มีอย่าง Srithai Superware แบรนด์สินค้าผลิตจากเมลานีนและพลาสติกสัญชาติไทย หรือจะเป็น Mistine แบรนด์เครื่องสำอาง และ Coway แบรนด์เครื่องกรองน้ำและเครื่องฟอกอากาศจากเกาหลี
ซึ่งถ้าคุณอยากซื้อสินค้าจากแบรนด์ขายตรงแบบชั้นเดียวถ้าคุณอยากได้สินค้าชิ้นนั้นจริงๆ คุณก็ต้องมาซื้อกับแบรนด์ที่เดียว ไม่มีการนำไปวางวางขายตามห้างสรรพสินค้าใดๆ ทั้งสิ้น
ขั้นตอนการขายตรงแบบชั้นเดียว
1.1 ผู้ประกอบการผลิตสินค้า
1.2 หลังจากผลิตแล้วก็นำมาโฆษณาผ่านช่องทาางต่างๆ หรือวางขายในร้าน
1.3 ถ้าลูกค้าเห็นโฆษณาจากทางทีวีก็สามารถโทรติดต่อพนักงานขายเพื่อสั่งซื้อสินค้าได้เลย หรือเดินทางไปที่ช็อปเพื่อซื้อสินค้าโดยตรง
1.4 ชำระเงินผ่านช่องทางที่กำหนด จากนั้นทางบริษัทจะส่งสินค้ามาให้ตามที่อยู่ที่แจ้ง ถ้ามีสินค้าใหม่เข้ามาพนักงานก็จะโทรไปเสนอขายสินค้าให้กับลูกค้าต่อไป
ต้องบอกว่าเมื่อก่อน ธุรกิจขายตรงมีการดำเนินธุรกิจในรูปแแบบการขายตรงชั้นเดียว แต่เมื่อธุรกิจได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้ธุรกิจมีการพัฒนาโครงสร้างเปลี่ยนมาเป็นรูปแบบหลายชั้น หรืออีกชื่อคือ ธุรกิจเครือข่าย (Network Marketing) กล่าวคือ ถ้าเราสนใจอยากเป็นคนขายด้วย ก็สามารถสมัครเข้าไปเป็นตัวแทนขาย เรียกว่า อัปไลน์ (Upline) และสามารถสร้างเครือข่ายลูกค้าเป็นของตังเองได้เลย
เนื่องจากการขายตรงแบบหลายชั้นไม่ได้มีแค่พนักงานเทเลเซลส์ติดต่อกับลูกค้าอย่างเดียว แต่ยังเปิดโอกาสให้คนที่สนใจเข้ามาสมัครเป็นตัวแทนจำหน่าย ของแบรนด์ ทำให้ได้พบปะกับลูกค้าของตนเองตัวต่อตัวเพื่อทำความรู้จัก และแนะนำสินค้าให้ลูกค้าทราบ
นอกจากนี้ ถ้าอัปไลน์สามารถดึงลูกค้าให้เข้ามาเป็นคนขายเพิ่มได้ ตัวแทนจำหน่ายที่เข้ามาใหม่ก็จะเรียกว่า ดาวน์ไลน์ (Downline) ซึ่งการดึงลูกค้าให้เข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่ายได้ คุณก็จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มเติมด้วย ทำให้ธุรกิจขายตรงแบบหลายชั้นเติบโตได้เร็วกว่าและเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากกว่าแบรนด์แบบชั้นเดียว
ส่วนอีกเหตุผลคือ สินค้าที่แบรนด์ขายตรงหลายชั้นขายจะเน้นไปที่อาหารเสริมและเครื่องสำอาง พร้อมกับการใช้นักแสดงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ช่วยทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากกว่า ซึ่งมีแบรนด์ อาทิ Amway, Giffarine และ ULife
2.1 ผู้ประกอบการผลิตสินค้า
2.2 สินค้าจะถูกส่งไปยังโกดังกลางให้ผู้จัดการประจำไปรับสินค้า
2.3 สินค้าจะถูกแจกจ่ายไปให้ผู้จัดการประจำเขตจังหวัดตามจำนวนที่สั่ง
2.4 จากนั้นจึงส่งให้ตัวแทนจำหน่าย
2.5 ตัวแทนจำหน่ายนำไปโฆษณาขายให้กับลูกค้าต่อไป
นี่คือความหมายและความแตกต่างของธุรกิจขายตรงชั้นเดียวกับธุรกิจขายตรงหลายชั้น เราจะเห็นว่าธุรกิจทั้งสองประเภทมีวิธีการดำเนินงานที่ต่างกัน ธุรกิจขายตรงชั้นเดียวจะเน้นการขายสินค้าให้ได้กำไรมากกว่า การขายสินค้าจึงมีแค่พนักงานกับลูกค้า ต่างจากธุรกิจแบบหลายชั้นที่ไม่ใช่แค่การทำยอด แต่เน้นไปที่การสร้างเครือข่ายของคนในธุรกิจให้มีขนาดใหญ่มากที่สุด มีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนขายกับลูกค้าอยู่ตลอดเวลา