ถ้าพูดถึง งานก่อสร้าง ในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะนึกถึงอะไรเป็นอย่างแรก
จากคำถามนี้หลายคนก็คงจะตอบไปแล้วว่าเป็นบ้านมากกว่าครึ่ง เพราะร้อยทั้งร้อยมักจะเห็นเป็นภาพที่ชินตาว่าผู้รับเหมาต่างก็รับงานเกี่ยวกับการสร้างบ้านหรืออาคารพาณิชย์กันเป็นส่วนใหญ่ อาจจะด้วยเนื้องานของแวดวงอสังหาริมทรัพย์มีตลาดค่อนข้างกว้างไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านขายหรือการต่อเติม ซ่อมแซมเพื่อทำบ้านมือสอง จึงพลอยให้คนที่ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างได้เติบโตตามไปด้วยเพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัยบ้านก็ยังคงอยู่ในความต้องการของตลาดเสมอ
แต่ในแวดวงของคนที่ทำงานเกี่ยวกับการรับเหมาก่อสร้างมีอะไรที่มากกว่าการสร้างบ้านหรือเปล่า
แน่นอนว่าการสร้างบ้านสักหลังไม่ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงด้วยการดีดนิ้วเพียงแค่ครั้งเดียว แต่เป็นการผสมทั้งศาสตร์และศิลป์มากกว่าหนึ่งอย่างเข้าไปจนเกิดเป็น งานสร้างสรรค์ หรือสิ่งปลูกสร้างที่เราต่างก็เรียกกันว่า “บ้าน” และถึงแม้ว่าการสร้างบ้านจะไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัวว่าจะต้องสร้างออกมาแบบไหน หรือต้องสร้างขึ้นมายังไงถึงจะกลายเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่ตรงกับความนิยมในช่วงเวลานั้น ๆ แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนและถือเป็นหัวใจหลักสำหรับคนที่ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างก็คือแผนงานในการก่อสร้างหลัก ๆ ที่ยังคงถูกส่งต่อด้วยหลักการที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด
ซึ่งจะประกอบด้วยงานหลัก ๆ ดังนี้
งานโครงสร้างคงเป็นงานแรกเริ่มของงานก่อสร้างและเป็นงานที่ควรจะให้ความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากโครงสร้างเป็นส่วนที่ต้องรับน้ำหนักและแรงทั้งหมดของตัวอาคารเพราะบ้านจะดีหรือไม่ดี อยู่แล้วปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน ต่างก็ขึ้นอยู่กับงานโครงสร้างทั้งนั้น และด้วยเหตุผลที่ว่ามานี้เองจึงเป็นที่มาว่าทำไมการบอกแบบอาคารที่อยู่ภายใต้กฎข้อบังคับของความปลอดภัยจึงต้องมาจากสถาปนิกและวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญ
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ก็ตาม งานโครงสร้างจะถูกคำนึงถึงก่อนเป็นอันดับแรกโดยเฉพาะความซับซ้อนและรูปแบบของตัวอาคารแต่ละหลังที่มีน้ำหนักมากน้อยไม่เท่ากัน ทำให้การแก้ไขงานโครงสร้างในแต่ละครั้งจะเป็นต้องใช้ผู้ที่มีความชำนาญการและต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการทำงานส่งผลถึงต้นทุนที่ค่อนข้างสูงนั่นเอง โดยทั่วไปแล้วงานโครงสร้างของบ้านจะแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่…
งานโครงสร้างฐานราก คือ โครงสร้างชั้นล่างสุดของบ้านที่อยู่ใต้ดิน ทำหน้าที่รับน้ำหนักทั้งหมดของอาคารที่ถ่ายเทลงมาผ่านคาน เสา ผ่านฐานรากผ่านสู่ดิน ซึ่งโครงสร้างส่วนนี้ก็มีอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่จะก่อสร้าง เพื่อให้อาคารหรือที่อยู่อาศัยนั้นแข็งแรง มั่นคง ไม่เสี่ยงต่อปัญหาทรุดตัว
โครงสร้างของเสาและคาน คือ โครงสร้างหลักสำคัญที่เปรียบเสมือนโครงกระดูกของบ้าน ซึ่งหมายถึงความแข็งแรงมั่นคงของบ้านทั้งหลัง โดยส่วนใหญ่แล้วเสาและคานมีหลากหลายประเภท โดยที่นิยมกันในปัจจุบัน คือ โครงสร้างไม้ โครงสร้างเหล็ก และโครงสร้างคอนกรีต
โครงสร้างของพื้นและบันได คือ ส่วนโครงสร้างที่ต้องรับน้ำหนักของสิ่งต่าง ๆ ทุกชนิดที่ตั้งอยู่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ หรือแม้แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้าน ซึ่งโครงสร้างส่วนนี้อาจจะต้องได้รับการออกแบบเพื่อรองรับน้ำหนักนับร้อยกิโลกรัมต่อตารางเมตรเลยทีเดียว
โครงสร้างของหลังคา คือ โครงสร้างที่ทำหน้าที่รับน้ำหนักของวัสดุมุงหลังคา เช่น กระเบื้องมุงหลังคา ให้อยู่ในลักษณะที่มั่นคงแข็งแรงและเป็นระเบียบ ในขณะเดียวกันก็จะทำหน้าที่ยึดตัวหลังคาทั้งหมด ให้เชื่อมต่อกับโครงสร้างของเสาและคานของตัวบ้านให้แข็งแรงด้วย
เมื่อมีงานโครงสร้างแล้วจะไม่พูดถึงการออกแบบเลยก็คงไม่ได้ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นตัวชูโรงหรือเป็นภาพลักษณ์อย่างหนึ่งของการก่อสร้างเลยก็ไม่ผิด เพราะงานสถาปัตยกรรมนี่เองที่เป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย หรือการสร้างเอกลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่งให้กับสิ่งปลูกสร้างนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น การสร้างบ้านที่ยึดงานสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์นที่มีความหรูหราและทันสมัย หรือบ้านสไตล์นอร์ดิกที่บ่งบอกถึงความเป็นบ้านแบบชาวยุโรป หรือบ้านสไตล์มินิมอลมูจิที่เป็นเทรนด์ของคนยุคใหม่ที่ต้องการบ้านขนาดเล็กที่มีพื้นที่ใช้สอยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตามงานสถาปัตยกรรมเป็นการก่อสร้างที่ทำให้เกิดความสวยงามอยู่แล้ว แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังต้องคำนึงถึงประโยชน์ในเรื่องของการใช้สอยให้มากที่สุด ซึ่งจะมีลักษณะงานที่แยกออกจากงานโครงสร้างชัดเจน ซึ่งจุดเด่นของสิ่งที่เรียกว่างานสถาปัตยกรรม ได้แก่ งานติดตั้งประตู หน้าต่าง กระจก งานทาสี โทนต่างๆ รวมถึงการติดตั้งวัสดุต่างๆให้เกิดความสวยงามงานสถาปัตยกรรมจะเป็นงานส่วนที่ผู้เข้ามาใช้อาคารเข้ามาสัมผัสได้มากที่สุด
สุดท้ายงานที่จะลืมไม่ได้เลยก็คืองานระบบที่ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการก่อสร้างบ้านเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าต่อให้มีบ้านเป็นหลังแล้วแต่หากขาดส่วนงานนี้ไปก็คงเป็นบ้านที่ไม่สมบูรณ์อยู่ดีเพราะงานระบบเป็นงานที่ค่อนข้างละเอียดเนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับ ระบบไฟ ระบบประปา ระบบปรับอากาศ ระบบน้ำ ซึ่งงานเหล่านี้ค่อนข้างซับซ้อนมากและด้วยความที่มีหลายระบบทำให้โครงสร้างงานระบบต่าง ๆ ต้องถูกวางแผนมาเป็นอย่างดี โดยช่างรับเหมาก่อสร้างหรือวิศวกรผู้ออกแบบการวางระบบจะต้องระบุตำแหน่งของงานระบบว่าจุดไหนต้องมีหลอดไฟ ต้องมีท่อน้ำทิ้ง ท่อน้ำดี ระบบปรับอากาศจะต้องส่งจากไหนไปไหน และต้องลงตรงไหน ซึ่งคนที่ทำงานส่วนนี้ต้องมีความเข้าใจและเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเพื่อให้การก่อสร้างเกี่ยวกับการเดินท่อ เดินสายไฟต่าง ๆ ถูกต้องแม่นยำและสอดรับกับงานโครงสร้างต่าง ๆ ได้
นอกจากนี้ความสำคัญของรูปแบบการก่อสร้างก็อาจจะนำไปสู่จุดเริ่มต้นของการวางรูปแบบของธุรกิจและการตลาดด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ผู้รับเหมาที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอาจรับงานก่อสร้างเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งแต่สามารถดำเนินงานร่วมกับผู้รับเหมาเจ้าอื่นที่มีความเชี่ยวชาญในเนื้องานที่มีความแตกต่าง อย่างผู้รับเหมาที่ทำโครงสร้างกับผู้รับเหมางานระบบ เป็นต้น แต่ทั้งนี้โดยส่วนใหญ่ผู้รับเหมาก็หนึ่งเจ้าก็มักจะมีทีมช่างที่เชี่ยวชาญงานทั้งสามรูปแบบในบริษัทหรือทีมเดียวกัน ซึ่งนั่นก็จะเป็นข้อได้เปรียบให้สามารถรับงานที่มีตลาดรองรับค่อนข้างมากได้อย่างง่ายดายขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของธุรกิจจะวางตัวเองไว้ในจุดไหนระหว่างการเป็นผู้รับเหมารายย่อยหรือการดำเนินธุรกิจภายใต้รูปแบบนิติบุคคล