ทำไม การศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยี จึงเป็นสิ่งสำคัญ? เพราะโลกเราในยุคสมัยปัจจุบันนี้ ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี สังเกตได้ว่าทุกอย่างในชีวิตเราก็เป็นเทคโนโลยีไปหมด หากไม่มีเทคโนโลยีเหล่านั้น ก็รู้สึกเหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนที่อัพเกรดมาจากโทรศัพท์มือถือ รถยนต์ไฟฟ้าที่อัพเกรดมาจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ให้เข้าใจง่าย ๆ เทคโนโลยีคือความรู้ใหม่ ที่ทำให้ชีวิตเราสะดวกสบายขึ้น พัฒนาขึ้น มีความศิวิไลซ์มากขึ้น และเทคโนโลยียังสร้างกระบวนการ สร้างเครื่องมือและข้อมูลใหม่ ๆ ที่รวดเร็วกว่าเดิม แก้ปัญหาได้ไวและทำให้สื่อสารกับคนรอบข้างได้เร็วกว่าหลายเท่า ถ้าหากขาดเทคโนโลยีไป ก็จะมีแต่ความล้าหลัง ไม่พัฒนา มากกว่านั้นคือความลำบากเพราะตามเทคโนโลยีไม่ทัน
เพราะฉะนั้น ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเลยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ทุกช่วงวัยควรจะมีความรู้ด้านเทคโนโลยีไม่มากก็น้อย แต่ปัญหาอย่างหนึ่งคือ “ช่องวางความต่างทางอายุในด้านของเทคโนโลยี” ทำไมถึงมีปัญหานี้? เพราะในแต่ละช่วงวัยนั้น เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนตามไม่ทัน คนบางช่วงอายุโดยเฉพาะ Baby boomer เลยยังใช้เทคโนโลยีแบบเดิม เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ ช่องว่างระหว่างวัยในด้านของเทคโนโลยีเลยกว้างขึ้น
แต่มันก็ไม่ใช่สำหรับทุกคน ต้องขอบคุณเทคโนโลยีทางด้านการสื่อสารในปัจจุบัน ที่ทำให้ผู้คนเข้าถึงความรู้ได้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยี IT ไม่ว่าจะเป็นช่องทาง Facebook หรือ YouTube เราสามารถหาความรู้ใหม่ ๆ ได้ทุกเมื่อ
ถ้าหากให้แนะนำช่องทางศึกษาเกี่ยวกับโลก IT สักช่องทางหนึ่ง และถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบเรื่องราวเกี่ยวกับวงการ IT เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่รู้จักรายการ “แบไต๋ ไฮเทค” และเราก็เชื่อว่า คนที่ไม่ได้ติดตามวงการ IT นั้น ก็ต้องรู้จักรายการและนี้เป็นอย่างดี ผู้ที่อยู่ทั้งเบื้องหลังและเบื้องหน้าอย่างคุณหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ เป็นที่รู้จักกันดีสำหรับผู้ดำเนินรายการที่โลดแล่นในรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับ IT และด้านนวัตกรรมมาเกือบจะ 20 ปี จนเรียกได้ว่าเป็น “รุ่นใหญ่” คนหนึ่งที่มีผู้ติดตามทุกช่วงวัย
คุณหนุ่ย เป็นประธานบริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด (Show no Limit) และตั้งขึ้นมาเมื่อประมาณปี ค.ศ. 2000 และเปิดตัวรายการแบไต๋เมื่อปี ค.ศ. 2006 เป็นรายการเกี่ยวกับนวัตกรรมและ IT ที่ On Air อยู่ในโลกของโทรทัศน์ คุณหนุ่ยเล่าให้ฟัง ว่าการทำรายการโทรทัศน์ในสมัยนั้น ทุกนาทีเป็นนาทีทอง เพราะช่องทางในการเผยแพร่นั้นไม่ได้มีมากเหมือนในปัจจุบัน และเรื่องราวเกี่ยวกับ IT นั้น ต้องอยู่ในข่าว เพื่อนำเสนอความรู้เกี่ยวกับ IT และความเคลื่อนไหวต่าง ๆ เพื่อให้คนดูนั้น ได้ตามทันเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เวลาเพียง 2-3 นาทีในโทรทัศน์นั้น มีค่ามาก ๆ เมื่อเทียบกับช่องทางที่น้อยและความรู้เกี่ยวกับ IT
และช่วงเวลาแห่งขาลงก็มาถึง เมื่อการประมูลสถานีดิจิทัลทีวีเกิดขึ้น เมื่อคุณหนุ่ยได้รับโอกาสจากหลายสถานีให้เปิดรายการจำนวน 12 รายการใน 6 ช่องโทรทัศน์ สุดท้าย 12 รายการนั้น เพียงเวลาแค่ปีเดียวก็ต้องถูกปิดตัวลงจน “เจ๊ง” และหมดเงินไปมากกว่า 8 หลัก สำหรับบริษัทเล็ก ๆ ของคุณหนุ่ย เท่านี้ก็ถือว่าสูญเสียอย่างมากมายมหาศาล
ระยะเวลาผ่านไปกว่า 4 ปีในการซ่อมสิ่งที่เคยพัง คุณหนุ่ยได้ถือกำเนิดความคิดใหม่ นั่นคือการรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรเพื่อตัวเอง มากกว่าการไปพึ่งพาช่องโทรทัศน์ที่พังไม่เป็นท่า ตัดสิ่งที่คิดว่าไม่จำเป็นออกไป ตัดอะไรที่มันเหมือนดูเป็น “รายการโทรทัศน์จนเกินไป” ออกไป ประจวบกับการมาของโลกออนไลน์ที่สามารถแพร่คอนเทนต์ได้ตลอดเวลา คุณหนุ่ยเลยเข้าสู่การเป็น “Content Creator” บนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างเต็มตัว
เมื่อคุณหนุ่ยตัดสินใจเข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างเต็มตัว ก็เท่ากับว่าเขามีอิสระในการนำเสนอมากขึ้น คอนเทนต์มีรูปแบบที่ลงรายละเอียด จากที่มีแค่เรื่อง IT ก็เพิ่มความเป็น “ไลฟ์สไตล์” มา เจาะทุกกลุ่มเกี่ยวกับเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ให้เข้ากันอย่างลงตัวมากกว่าแต่ก่อน มีการรีวิวที่หลากหลายมากขึ้น ไม่จุกอยู่กับเรื่องของคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์
และรายการออนไลน์ภายใต้ชื่อ “beartai แบไต๋” ก็สามารถกลับมาโลดแล่นให้คนได้ติดตามกันอีกครั้ง จากการที่คุณหนุ่ยได้ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับดราม่าทนายชื่อดังที่ต้องทิ้งของก่อนขึ้นเครื่องบินแล้วถ่ายรูปลงออนไลน์จนเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ คุณหนุ่ยเลยเดินทางไปที่สุวรรณภูมิและเดินไปที่ตู้ไปรษณีย์ตู้หนึ่ง คุณหนุ่ยอธิบายว่า ถ้าของชิ้นไหนที่ไม่สามารถขึ้นเครื่องได้ เขาจะใส่ไว้ในตู้นี้ พร้อมกับสาธิตวิธีการใช้ตู้นั้น สุดท้าย ยอดวิวคลิปก็ขึ้นเป็นล้านวิว หลังจากนั้นมา คนก็มาติดตามมากขึ้น เหมือนกับเป็นการ “จุติ” แบไต๋ขึ้นมาใหม่ และทุกคลิปที่ทำก็หลักล้านมาเรื่อย ๆ
แน่นอนว่าเพจที่มีผู้ติดตามกว่า 1.5 ล้านคนก็ต้องมีลูกค้าเข้ามาขอทำโฆษณาอยู่แล้ว เมื่อมีลูกค้า สิ่งที่คุณหนุ่ยคำนึงถึงเสมอ คือผลตอบแทนที่ลูกค้าจะได้รับ อย่างเรื่องของ ROI (Return of Investment) หรือ KPI (Key Perfomance Indicator) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องให้ความสำคัญในเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อให้ทุกอย่าง คงความต้องการเดียวกันทั้งสองฝ่าย
ด้วยความที่คุณหนุ่ยนั้นใส่ใจผู้ติดตามมาโดยตลอด ด้วยความที่สัดส่วนคอนเทนต์ของทางเพจ แบ่งออกเป็น 80% ที่เป็นโฆษณากับ 20% ที่เป็นคอนเทนต์แบบ Original แต่คุณหนุ่ยก็พยายามที่จะสร้างสมดุลคอนเทนต์ตลอด การโพสต์คอนเทนต์ Original นั้น เป็นทุนของความรู้ ส่วนคอนเทนต์เชิงโฆษณา ก็จะเป็นคอนเทนต์ที่ให้ความรู้ ให้การติได้เช่นกัน
และการทำคอนเทนต์ในแบบฉบับของคุณหนุ่ยนั้น ต้องสดใหม่เสมอ ต้องติดตามไปกับสถานการณ์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน และในบางครั้ง ก็ต้องเร็วกว่าผู้ติดตามด้วย เพราะมันจะสร้างความทันสมัยให้กับผู้คน
อย่างที่คุณหนุ่ยเคยพลาดไปครั้งหนึ่ง คุณหนุ่ยเคยพูดว่า ตอนทำรายการโทรทัศน์ เขาเคยบอกว่าเราต้องใช้อินเทอร์เน็ต แต่ตัวเขาเองกลับไม่สร้างอะไรในอินเทอร์เน็ตเลย เพราะฉะนั้น ทุกอย่างคือความสดใหม่ ทุกอย่างคือการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว หากกลืนน้ำลายตัวเอง ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ก็ยากนักที่จะประสบความสำเร็จได้ และคุณหนุ่ยก็แสดงให้เห็น ไม่ว่าจะเคยพลาดมาก่อน เราก็สามารถพลิกฟื้นให้ทุกอย่างกลับมาดี และประสบความสำเร็จได้
อ้างอิงจาก :
https://bit.ly/3ECKqVO
https://bit.ly/3Gl5L7h
https://bit.ly/3UIs236
https://marketingbuddy.me/experts/influencer/%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82-%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C-nui?fbclid=IwAR0ntdMemUf0YVWxIU2bYxyk-GiPzFuXG9o6QSLDPaCTVMqzV_yhxziMIVshttps://w
ww.facebook.com/beartai
ขอขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.beartai.com