“ติดบูโร” คงจะเหมือนฝันร้ายของใครหลาย ๆ คน

อยากขอสินเชื่อใหม่แต่ดันมีประวัติเคยติดบูโร ต้องทำยังไง ?
 
หลังจากใช้หนี้ก้อนใหญ่หมดไปแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปสักพักก็คงจะมีช่วงที่คิดอยากจะเริ่มต้นใหม่หรือซื้อทรัพย์สินอะไรสักอย่างอยู่แน่ ๆ บางคนอยากมีบ้าน บางคนอยากมีธุรกิจ ซึ่งความฝันเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็มักจะเติมเต็มได้ด้วยการขอสินเชื่อจากธนาคาร
 
การขอสินเชื่อดูเหมือนจะเป็นทางเลือกหลัก ๆ ให้กับทั้งคนที่มีเครดิตแต่ไม่มีทุน หรือมีทุนอยู่แล้วแต่อยากมีทุนก้อนใหญ่เพิ่ม
 
แต่มันจะเป็นไปได้ไหมหากว่าคนที่กำลังจะขอสินเชื่อดันมีประวัติ “เคยติดบูโร” มาก่อน
 
ถ้าพูดถึงคำว่า “ติดบูโร” คงจะเหมือนฝันร้ายของใครหลาย ๆ คนเลยทีเดียวโดยเฉพาะกับลูกค้าสินเชื่อที่เคยมีประวัติด้านการชำระหนี้ที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ การติดบูโรว่ากันว่าก็เหมือนกับการขึ้นบัญชีดำของสถาบันการเงินเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าในอนาคตจะเป็นการขอสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อธุรกิจ หรือแม้แต่การกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยก็กลายมาเป็นเรื่องยากเพียงเพราะเครดิตการชำะหนี้ไม่ได้ดีเท่าที่ควร ฉะนั้นแล้วจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากว่าคนส่วนหนึ่งจะมีความกังวลเกี่ยวกับเครดิตบูโรของตัวเอง
แต่นั่นคือสิ่งที่จะติดตัวไปตลอดอย่างนั้นเหรอ?
 
รู้หรือไม่ว่าเครดิตบูโรจะเก็บข้อมูลไว้เพียงแค่ 3 ปีเท่านั้นเอง
 
เป็นความจริงที่ว่าต่อให้เครดิตทางด้านการเงินจะแย่แค่ไหนแต่ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกแสดงผลในระบบประมาณ 24 – 36 เดือนเท่านั้น ซึ่งนั่นหมายความว่าหากลูกค้าที่เคยมีเครดิตไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ต้องการที่จะขอสินเชื่อใหม่ด้วยเครดิตดี ๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยต้องอาศัยระยะเวลาราว ๆ ประมาณ 3 ปี ในการเคลียร์เครดิตบูโรของตัวเองและสร้างเครดิตการชำระหนี้ใหม่ที่ดีกว่าเดิม
 
แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็ยังมีอีกหลายคนที่เข้าใจผิดคิดว่าเมื่อผ่าน 3 ปีไปแล้วประวัติที่เคยติดบูโรจะหายไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้วแม้ว่าจะผ่านระยะเวลามากกว่า 3 ปีแล้วก็ตาม ระบบก็ไม่ได้ล้างข้อมูลของลูกค้าแต่อย่างใด ซึ่งธนาคารจะยังคงสามารถเรียกดูข้อมูลเก่าได้และพบประวัติการชำระเงินเหล่านั้นอีกอยู่ดี และข้อมูลเหล่านี้อาจจะถูกนำมาประกอบการพิจารณาในการให้สินเชื่อกับลูกค้าอีกครั้งก็ได้
 
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านั้นไม่ใช่ตัวแปรหลักที่จะเป็นตัวการันตีว่าสินเชื่อที่ต้องการยื่นขอจะไม่ได้รับการอนุมัติเพราะในเวลาเดียวกันนั้นลูกค้าที่เคยมีประวัติเสียก็ยังสามารถเคลียร์บูโรของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

แก้สถานะเครดิตบูโรให้กลับเป็นปกติ

การแก้สถานะของบูโรให้กลับมาอยู่ในสถานะปกติถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด และเป็นสิ่งที่ดีต่อตัวของเจ้าของเครดิตเองด้วย เพราะเมื่อปัญหาดังกล่าวนั้นเริ่มต้นมาจากการเป็นหนี้ก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุนั่นก็คือ ต้องแก้หนี้ที่มีให้หมดไปก่อน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เครดิตบูโรกลับมามีสถานะปกติในขั้นต้น แล้วจากนั้นจึงค่อย ๆ สร้างเครดิตทางการเงินที่ดีให้ธนาคารเห็น เช่น ผ่อนชำระหนี้ตรงกำหนด ไม่มียอดหนี้ค้างชำระ เป็นต้น ซึ่งหากทำได้ตามที่กล่าวมาข้างต้นโอกาสที่จะกู้ขอสินเชื่ออื่น ๆ กับธนาคารแบบผ่านฉลุยในอนาคตก็มีมากขึ้นเช่นกัน
 
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการจะแก้สถานะเครดิตบูโรที่ติดแบล็คลิสต์อยู่ให้กลับมาเป็นปกติก็ต้องใช้ความตั้งใจและมีวินัยทางการเงินที่ดีไปพร้อม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการนำหนี้สินทั้งหมดมาจัดลำดับความสำคัญ เคลียร์ปิดหนี้ไปที่ละก้อน หนี้ก้อนไหนที่ดอกเบี้ยสูง ๆ ก็ต้องรีบปิดให้เร็วที่สุด รวมถึงการเข้าไปเจรจาต่อรองขอปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารเพื่อให้การจัดการหนี้มีความสะดวกและง่ายขึ้นโดยไม่เป็นการสร้างภาระในช่วงที่การเงินขาดสภาพคล่องก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้สามารถปิดหนี้ได้เร็วขึ้นเช่นกัน

การเพิ่มรายได้ให้เพียงพอต่อการชำระหนี้

ถ้าการมีรายได้อยู่ทางเดียวแล้วรักษาเครดิตของตัวเองดี ๆ คือหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้การขอสินเชื่อง่ายขึ้น แล้วถ้าหากมีรายได้มากกว่าหนึ่งทางล่ะ จะยิ่งไม่เป็นการเพิ่มเครดิตใหม่ให้กับตัวผู้ขอสินเชื่อในอนาคตด้วยหรือเปล่า?

การเคลียร์เครดิตบูโรเพื่อเตรียมตัวสำหรับการขอสินเชื่อใหม่ นอกจากวิธีการเคลียร์หนี้ให้หมดแล้วก็ยังรวมไปถึงการสร้างรายได้ให้กับตัวเองในอัตราที่คาดว่าน่าจะเพียงพอต่อการชำระหนี้ได้ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้สถาบันการเงินมองเห็นศักยภาพด้านการชำระหนี้ของลูกค้าได้มากขึ้น แม้ว่าก่นหน้านั้นอาจจะเคยมีประวัติด้านการชำระหนี้หรือติดบูโรมาก่อนก็ตาม เพราะเหมือนที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าเครดิตบูโรจะแสดงให้เห็นในช่วงระยะเวลา 3 ปีเท่านั้น หากในช่วงเวลา 3 ปี มีเครดิตที่ดีหรือมีสถานะทางการเงินที่เหมาะสมก็สามารถขอสินเชื่อใหม่ด้วยเครดิตใหม่ ๆ ได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เครดิตบูโรไม่ใช่สิ่งที่จะอยู่กับตัวลูกค้าถาวรแต่จะติดอยู่เพียงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้ธนาคารที่ต้องการจะปล่อยสินเชื่อทราบว่าก่อนหน้านี้ลูกค้าคนดังกล่าวมีประวัติด้านการชำระหนี้อย่างไร และท้ายที่สุดธนาคารอาจจะพิจารณาจากสถานะทางการเงินในปัจจุบันหรืออ้างอิงบางส่วนจากประวัติเดิมก็ได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็มักจะพิจารณาจากเครดิตปัจจุบันเป็นสำคัญ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมลูกค้าที่ต้องการจะขอสินเชื่อในอนาคตจะต้องรักษาเครดิตดี ๆ ของตัวเอง รวมไปถึงการแก้ปัญหาเครดิตบูโรที่ยังคงติดค้างมาจากการชำระหนี้ก่อนหน้านั้นนั่นเอง

คลังความรู้อสังหาฯ

Scroll to Top