จะทำยังไงไม่ให้จ่ายเงินเกินงาน และไม่จ่ายงานเกินเงิน
มีใครบ้างล่ะที่อยากจะทำงานเกินเงินค่าจ้าง หรือมีใครที่อยากจะจ้างด้วยเงินที่เกินผลงาน แน่นอนว่าแทบจะไม่มีเพราะไม่ว่าใครก็ไม่อยากเป็นฝ่ายถูกเอาเปรียบไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่ไหนก็ตาม แต่ทว่าบางครั้งในวงการของ ผู้รับเหมา ก็มักจะเจอกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือลูกค้าแบบที่ไม่คาดฝันอยู่บ่อย ๆ แล้วคนเหล่านั้นก็มักจะพาไปเจอกับเรื่องแปลก ๆ ที่ไม่อยากจะทำเสียเลยเพราะรู้ว่าต่อให้ทำไปแล้วต้องลำบากแน่ ๆ อย่างเช่นว่า…
ลูกค้าเป็นคนแบ่งงวดงานให้ผู้รับเหมา โดยแบ่งงวดแรกให้เงินน้อย ๆ แล้วไปเยอะงวดท้าย ๆ
เจองวดงานโหดแบบนี้ต่อให้เป็นผู้รับเหมาที่เก่งแค่ไหนสุดท้ายก็คงใส่เกียร์หมาวิ่งหนีกันเป็นแถบแน่ ๆ เพราะรู้ว่าทำไปก็ไม่จบ เผลอ ๆ อาจจะเจ็บกันทั้งสองฝ่ายเพราะคนทำงานก็ทำไม่ได้เพราะเงินทุนไม่พอ ไหนจะค่าแรงค่าวัสดุ ส่วนเจ้าของบ้านก็ไม่ได้งานไปตาม ๆ กัน ฉะนั้นทางที่ดีจึงควรจะทำให้งวดงานมีความสัมพันธ์กับต้นทุนที่ต้องใช้ตามรายละเอียดในหน้างานจริงมากกว่า ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้การแบ่งงวดตามแบบ BOQ แบบละเอียดมากกว่าการแบ่งงวดงานแบบหยาบนั่นเอง
แล้วการแบ่งงวดงานแบบละเอียดจะต้องแบ่งแบบไหน?
โดยปกติแล้วใบ Cover ที่แปะหน้า BOQ จะมีแยกเพียงแค่ 4 หมวด โดยอ้างอิงจาก BOQ ของงานบ้านซึ่งจะไม่มีการซอยเปอร์เซ็นต์แยกงวดงานเอาไว้ว่าจะมีอัตราค่าใช้จ่ายต่องานอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ แต่จะสามารถคำนวณได้จากการนำค่าใช้จ่ายทั้งหมดใน BOQ มาแยกเป็นหมวดหมู่ย่อย แล้วนำตัวเลขเหล่านั้นมาคิดเป็นสัดส่วนที่เป็นเปอร์เซ็นต์ของแต่ละงวดงานอีกที ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วอัตราการแบ่งงวดงานจะมีดังนี้
โดยแต่ละหมวดประกอบด้วย…
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าการแบ่งงวดงานก็คือหนึ่งในวิธีการที่ใช้แบ่งงานแต่ละงวดที่กับต้นทุนให้มีความสมดุลกันมากที่สุด เพื่อให้ผู้รับเหมาสามารถดำเนินงานต่อไปได้โดยไม่ติดขัดหรือมีภาระงานช่วงใดช่วงหนึ่งหนักจนเกินไป ซึ่งสามารถแบ่งหมวดหมู่โดยการเอางานที่มีต้องทำด้วยกันหรือมีเนื้องานที่ใกล้เคียงกันมาเป็นงวดเดียวกัน และต้องพิจารณาด้วยว่างวดงานเหล่านั้นจะไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป และแน่นอนว่างวดงานก็มีผลต่อเงินที่ต้องจ่ายเช่นกันเพราะหากงวดงานเล็กก็จ่ายเงินน้อย แต่ถ้างวดงานใหญ่ก็จะยิ่งมีค่าใช้จ่ายสูงตามขึ้นไปด้วย
หรือหากเป็นการแบ่งงวดงานสำหรับงานรีโนเวทก็อาจจะมีการแบ่งงวดงานตามหน้างานจริง ยกตัวอย่างเช่น งานหลังคาที่เป็นงานเล็กอาจจะถูกรวมไปพร้อม ๆ กับซ่อมแซมผนังชั้น 2 ก็ได้ เนื่องจากเป็นงานเล็กและมีพื้นที่ที่ติดต่อกัน ดังนั้นการเบิกเงินค่างวดงานจึงถูกจัดอยู่ในงวดงานเดียวกันได้ เป็นต้น
ทั้งนี้การแบ่งเปอร์เซ็นต์หรือตัวเลขสำหรับงวดงานก็ไม่ได้มีกฎตายตัวว่าจะต้องเป็นแบบเดียวกันเสมอไป เพราะบ้านแต่ละหลังก็มีความแตกต่างและมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ไม่เหมือนกันอีกหลายต่อหลายอย่าง แต่จุดประสงค์หลัก ๆ ก็คือการแบ่งงวดงานเพื่อไม่ให้เกิดภาระกับทั้งผู้รับเหมาและเจ้าของบ้านในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งมากจนเกินไป และยังทำให้รู้ว่างวดงานไหนที่ต้องเสียเงินเยอะ งวดงานไหนที่จะจ่ายเงินน้อย ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นการแบ่งงวดงานเยอะไม่ได้หมายความว่าต้องแบ่งจ่ายทีละงวดงานเสมอไป แต่สามารถทำได้ทีละหลายงวดงานแล้วเบิกทีเดียวก็ได้เช่นกัน